อินโนเวสท์เอกซ์เชียร์เก็บหุ้นไทย พบกัน 1,500 จุด Q2 เน้น 5 ตัวเด่น

HoonSmart.com>>บล.อินโนเวสท์เอกซ์แนะจังหวะดีซื้อหุ้นแถวต่ำกว่า 1,400 ไตรมาส 2 เป้า 1,500  หวังกำไร 12% ชูปัจจัยบวกต่างประเทศ เศรษฐกิจโลกดีเกินคาด ธนาคารกลางแห่ลดดอกเบี้ย ผลิตอุตสาหกรรมพ้นจุดต่ำสุด ส่วนไทยเร่งใช้งบประมาณ กนง.ลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง เม.ย.และ มิ.ย. ดอกเบี้ยที่ลดลงทุกๆ 0.25% หนุนกำไรบจ.เพิ่มขึ้น 17,000 ล้านบาท-ดัชนีบวก 20 จุด แนะนำ 5 หุ้นเด่น  AOT,GFPT,GULF,KCE ,SCGP  วันนี้ตลาดบวก 3.60 จุด ต่างชาติซื้อต่อ 678 ล้านบาท  

บริษัทหลักทรัพย์(บล.) อินโนเวสท์ เอกซ์ยกทีมแถลงทิศทางการลงทุนในช่วงไตรมาส 2/2567  โดยนายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน เปิดเผยว่า ช่วงนี้เป็นจังหวะที่ดีในการเข้าซื้อหุ้น จุดที่สำคัญอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1,400 จุด P/E 14 เท่า เป็นช่วงเวลาที่ตลาดสมดุลโตตามปัจจัยพื้นฐาน คาดเป้าหมายดัชนี SET อยู่ที่ 1,500-1,550 จุด ผลตอบแทนที่คาดหวังอยู่ที่ 12%  โฟกัสหุ้นที่ผลประกอบการทำจุดต่ำสุดแล้วและได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย มีฐานะการเงินและกระแสเงินสดที่ดี ผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างชัดเจน และได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของวงจรการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการเบิกจ่ายงบประมาณ ได้แก่ AOT,GFPT,GULF, KCE,และ SCGP

”  จากสถิติการลดดอกเบี้ย 5 ครั้งที่ผ่านมา 4 ครั้งหุ้นบวก 5% อีกครั้งติดลบ 3%  ครั้งนี้คาดว่ากนง.จะปรับลดดอกเบี้ยในเดือนเม.ย. และมิ.ย. ซึ่งการลดดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% จะส่งผลต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) เพิ่มขึ้น 17,000 ล้านบาท และหุ้นเพิ่มขึ้น 20 จุด ดอกเบี้ยที่ลดลงจะดีต่อกลุ่มสาธารณูปโภค ไฟแนนซ์ และขนส่งคาดว่าเม็ดเงินจะไหลเข้ามาลงทุน  ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐขึ้นไปแล้ว ก็น่าจะขึ้นไปได้อีก จากการปรับลดดอกเบี้ย” นายสิทธิชัยกล่าว

ทั้งนี้คาดว่าจะเริ่มเห็นสัญญาณการปรับเปลี่ยนน้ำหนักการลงทุน (Rotation) จากตลาดเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว (Developed Market) ไปยังตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) และเม็ดเงินลงทุนใหม่จะมุ่งเน้นไปที่กลุ่ม non-tech และกลุ่มวัฏจักรมากขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป โดยกลุ่มเทคโนโลยียังมีความน่าสนใจอย่าง TSMC, ASML, Microsoft, Alphabet ในขณะที่ Non-tech และกลุ่มวัฏจักรได้แก่ Airbus, Home Depot, Pfizer, Walt Disney, China Mobile, Baidu, CATL

ด้านนายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล. อินโนเวสท์ เอกซ์  กล่าวว่า  เศรษฐกิจโลกในไตรมาส 2  มีแนวโน้มชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Global Soft-Landing) อัตราการเติบโตจะสูงกว่าที่นักวิเคราะห์เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า  อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯอยู่ในทิศทางชะลอตัว ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯมีโอกาสลดดอกเบี้ยได้ในปีนี้ ในส่วนของเศรษฐกิจจีนเริ่มเห็นการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายด้าน

“หากเศรษฐกิจจีนเติบโตตามแผนของรัฐบาลจะส่งผลบวกต่อทั้งเศรษฐกิจและตลาดหุ้นของเอเชียโดยเฉพาะไทย ในขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านการเบิกจ่ายภาครัฐเป็นหลัก การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นอีกปัจจัยที่อาจเกิดขึ้นซึ่งจะช่วยหนุนเศรษฐกิจไทยเช่นกัน  คาดว่าจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทยในไตรมาสที่ 2/67 โดยประเมิน SET Index เป้าหมายที่ 1,550 จุด แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มขนส่ง และ กลุ่มสาธารณูปโภค”นายสุกิจกล่าว

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนระยะยาวนายสุกิจกล่าวว่า ยังแนะนำลงทุนแบบ DCA เนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังถือว่าฟื้นตัวช้ากว่าตลาดหุ้นภูมิภาค ราคาหุ้นอยู่ในระดับที่ Undervalue มาก  คาดว่า SET Index จะยังคงมีความผันผวน การลงทุนแบบ DCA ในช่วงนี้จึงถือเป็นจังหวะที่ดีที่สุด เนื่องจากความเสี่ยงลดลงไปมากและโอกาสทำกำไรในอนาคตค่อนข้างสูง โดยเกณฑ์การพิจารณาหุ้นสำหรับ DCA  ควรเป็นหุ้นที่พื้นฐานดี ราคา Undervalue มีผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง ได้แก่ BBL, BDMS, BEM, CPALL, PTT และ SCC นอกจากนั้นยังมีคำแนะนำสำหรับพอร์ตการลงทุนแบบ 2 สัปดาห์ (Bi-weekly Portfolio) และหุ้นเด่นประจำวัน (Daily Top picks)

นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ แนะให้จับตาราคาน้ำมันดิบที่เร่งตัวขึ้นมาช่วงสั้น คาดปีนี้เคลื่อนไหว 75-85 ดอลลาร์/บาร์เรลหรือเฉลี่ย 80 ดอลลาร์ เพราะความต้องการที่แข็งแรงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่แข็งแกร่งกว่าคาด รวมถึงมาตรการลดการผลิตของ OPEC+  หากสถานการณ์ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องอาจนำไปสู่ตลาดน้ำมันที่อยู่ในภาวะอุปทานขาดแคลนได้

สำหรับประเด็นเรื่องการปรับลดดอกเบี้ย คาดเฟดมีโอกาสปรับลดในการประชุมเดือน มิ.ย.และลดจำนวน 3-4 ครั้งในปีนี้ ด้าน ECB มีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยก่อนในเดือนมิ.ย.ลดเป็นจำนวน 4 ครั้ง เนื่องจากเศรษฐกิจยุโรปฟื้นตัว เช่นกัน  ส่วนไทยลด 2 ครั้งคาดค่าเงินบาทเฉลี่ย 35.50 บาท/ดอลลาร์

ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 2.5-3.0% ขึ้นอยู่กับการเบิกจ่ายงบภาครัฐ ส่วนเศรษฐกิจโลกดูดีกว่าคาด โดยเฉพาะสหรัฐฯ แต่อาจชะลอตัวลงในระยะต่อไปจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ 1. ผลกระทบของดอกเบี้ยขาขึ้น 2.ความเสี่ยงของภาคธนาคารที่เพิ่มขึ้น และ 3.เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ แม้ว่าความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะลดลง แต่นโยบายการเงินเริ่มมีพื้นที่ว่างมากขึ้น เศรษฐกิจญี่ปุ่น BOJ ปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี แต่ยังให้คำมั่นที่จะซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว เพื่อรักษาสถานะนโยบายการเงินให้ยังผ่อนคลาย

ทั้งนี้แนะจับตากระแสการกู้ยืมเงินเยนไปลงทุนในสินทรัพย์สกุลอื่น (Reverse Yen Carry Trade) อย่างใกล้ชิด แต่เชื่อว่า BOJ จะดำเนินนโยบายการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะไม่ทำให้กระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายผันผวนมากนัก ด้านเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวในระยะสั้น แต่ระยะยาวยังเผชิญความเสี่ยงจาก 3 วิกฤต ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ ภาวะเงินฝืด และวิกฤตการจ้างงาน

นายพยนต์ พงศาวรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานฝ่าย Wealth Products and Strategy บล. อินโนเวสท์ เอกซ์   เผยมุมมอง การจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) ว่า ในไตรมาส 2 ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตราสารหนี้ ผลตอบแทนที่น่าสนใจ  แนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกที่จะเป็นผลบวกต่อราคา และช่วยกระจายความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนได้ด้วยเช่นกัน เน้นคุณภาพดี แนะนำกองทุน UGIS-N ที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก PIMCO GIS Income Fund ลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพสูงทั่วโลก

สำหรับหุ้นในตลาดเกิดใหม่ถึงแม้ว่าจะมีมูลค่าหุ้น (Valuation) อยู่ในระดับที่น่าสนใจ แต่ยังแนะนำให้เลือกลงทุนเฉพาะบางตลาดที่มีปัจจัยสนับสนุนเฉพาะตัว และ Valuation ยังไม่ได้แพงมากเกินไป เช่น ตลาดหุ้นไทย เวียดนาม และเกาหลีใต้ แนะนำกองทุน TISCOHD-A ที่เน้นลงทุนในหุ้นไทยขนาดใหญ่ปันผลสูงคุณภาพ ผสมผสานกับกองทุน ASP-SME-A ลงทุนในหุ้นไทยขนาดกลางขนาดเล็กเติบโตสูง กองทุน Principal VNEQ-A ลงทุนในหุ้นเวียดนามที่มีศักยภาพในการเป็นผู้ชนะในระยะยาว สอดคล้องไปกับการเติบโตเชิงโครงสร้าง และกองทุน SCBKEQTG ลงทุนในหุ้นเกาหลีใต้ อาทิ Samsung ผู้ผลิต Memory Chip อันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งได้ประโยชน์จากการส่งออกในกลุ่ม Semiconductor ที่เติบโต โดยการลงทุนในกองทุนไทยเหล่านี้นอกจากจะช่วยกระจายเสี่ยงของพอร์ตแล้ว นักลงทุนไม่ต้องกังวลเรื่องภาษีต่างประเทศอีกด้วย

ภาพการลงทุนในตลาดหุ้นภูมิภาควันนี้ (27 มี.ค.2567)มีทั้งบวกและลบ ส่วนไทยดัชนีปิดที่ระดับ 1,380.83 จุด เพิ่มขึ้น 3.60 จุด หรือ +0.26% มูลค่าซื้อขาย 31,800.29 ล้านบาท   นักลงทุนต่างชาติซื้อต่อ 678.23 ล้านบาท และซื้อตราสารหนี้มากถึง  7,031 ล้านบาท หลังจากนักลงทุนแห่ประมูลซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่เปิดประมูลวันนี่ 33,000 ล้านบาทล้นทะลัก

นายเบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้เคลื่อนไหวไซด์เวย์ มีหุ้นที่ถูกชอร์ตเซลไปก่อนหน้านี้จำนวนมากเริ่มมีแรงซื้อกลับ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์, AOT, TU เป็นต้น หลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์จะเปิดเผยข้อมูลขายชอร์ตที่ยังไม่ได้ซื้อคืน เริ่มในวันที่ 9 เม.ย.นี้

นอกจากนี้ การประชุมกนง.ในวันที่ 10 เม.ย.นี้ เริ่มมีน้ำหนักที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้มีความเป็นไปได้ที่เงินบาทจะอ่อนค่า ขณะที่ธนาคารกลางอื่น ๆ ตลาดคาดจะปรับลดดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย. ซึ่งอาจทำให้เงินไหลออกได้ พร้อมให้ติดตามตัวเลข PCE ของสหรัฐในวันศุกร์นี้

แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (28 มี.ค.) ตลาดคงจะเคลื่อนไหวไซด์เวย์ในกรอบ 1,375-1,390 จุด