HoonSmart.com>>ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เผยไตรมาสแรกปีนี้กำไรสุทธิ 7,533 ล้านบาททรงตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 1,257 ล้านบาท หรือ 20%เทียบไตรมาส 4/67 จากยุทธศาสตร์ที่มุ่งสินเชื่อที่มีคุณภาพในภาคธุรกิจโต 4.7% บริหารสภาพคล่องและต้นทุนทางการเงินเชิงรุก ส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) 4.1% รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้น 5.4% ตั้งสำรอง 9,988 ล้านบาท ลดลง 18.6% จากไตรมาสแรกปีก่อน และลดลง 5.1% จากไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เปิดเผยผลการดำเนินงานงวดไตรมาสที่ 1/2568 มีกำไรสุทธิ 7,533.48 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 1.02 บาท ลดลง 9.13 ล้านบาท หรือ 0.12% จากช่วงเดียวกันปีของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 7,542.61 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 1.03 บาท แต่เพิ่มขึ้นจํานวน 1,257 ล้านบาท หรือ 20% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2567 ที่ผ่านมา โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้นความสำคัญของการเติบโตสินเชื่อที่มีคุณภาพในภาคธุรกิจที่มีการฟื้นตัว พร้อมบริหารต้นทุนทางการเงินและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างเต็มศักยภาพ รวมถึงผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 9,988 ล้านบาท ลดลง 18.6% จากจำนวน 12,271 ล้านบาทในไตรมาสแรกปีก่อน และลดลง 5.1% จากจำนวน 10,524 ล้านบาทในไตรมาสที่ 4 ปีที่ผ่านมา
เงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่จํานวน 1,896,446 ล้านบาท ทรงตัวจากสิ้นปี 2567 ท่ามกลางความท้าทายและความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้น แต่จากการดำเนินงานเชิงรุกที่มุ่งเน้นการเติบโตของสินเชื่อกลุ่มเป้าหมาย ส่งผลให้เงินให้สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่เติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 4.7% หรือจำนวน 30,904 ล้านบาท ขณะที่สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรวมทั้งสินเชื่อเพื่อรายย่อยปรับตัวลดลง 2.4% และ 2.5% ตามลำดับ ภายใต้บริบทที่ความไม่แน่นอนและความเสี่ยงเพิ่มสูงขึ้น โดยกรุงศรียังคงให้ความสำคัญในการรักษาคุณภาพสินทรัพย์ ด้วยมาตรการสนับสนุนลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ท้าทายผ่านมาตรการช่วยเหลือที่ครอบคลุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย”
เงินรับฝากอยู่ที่ 1,838,982 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจํานวน 16,753 ล้านบาท หรือ 0.9% จากสิ้นปี 2567 มาจากสัดส่วนเงินรับฝากที่มีต้นทุนต่ำ ประกอบด้วยเงินรับฝากประจำที่มีอายุน้อยกว่าหกเดือนและเงินรับฝากออมทรัพย์ สุทธิด้วยการลดลงของเงินรับฝากประจำที่ต้นทุนสูงกว่าและระยะเวลานานกว่า สะท้อนการบริหารสภาพคล่องและต้นทุนทางการเงินเชิงรุกและรอบคอบระมัดระวัง
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 4.1% เพิ่มขึ้น 0.07%จากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีปัจจัยหลักมาจากต้นทุนเงินรับฝากที่ลดลง สะท้อนการบริหารต้นทุนทางการเงินเชิงรุก ส่งผลให้เกิดการปรับโครงสร้างและระยะเวลาของเงินรับฝากอย่างมีประสิทธิภาพ
รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้น 5.4% หรือ 607 ล้านบาท จากไตรมาสแรกของปี 2567 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของหนี้สูญรับคืน กําไรจากทรัพย์สินรอการขายและเงินปันผล
อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ ปรับตัวดีขึ้นที่ 45.7% เทียบกับ 46.5% ในไตรมาสก่อนหน้า จากการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การดำเนินงานของธนาคาร
อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs Ratio) อยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้ที่ 3.29% เทียบกับระดับ 3.23% ณ สิ้นปี 2567 ที่ผ่านมา ขณะที่อัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อรวมปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับ 2.11% เทียบกับ 2.34% ในไตรมาสก่อนหน้า การลดลงมีปัจจัยหลักมาจากแนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ของธุรกิจในอาเซียนปรับตัวดีขึ้น กอปรกับการตั้งสํารองเพิ่มเติมในปี 2567 เพื่อรองรับทั้งในด้านวัฏจักรเศรษฐกิจและการตั้งสํารองตามเกณฑ์ที่เข้มงวดและรอบคอบระมัดระวัง โดยอัตราส่วนเงินสํารองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ในระดับ 124.5% เทียบกับ 123.2% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2567
อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (ของธนาคาร) อยู่ที่ 19.14% เทียบกับ 19.38% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2567
นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า จากยุทธศาสตร์ของธนาคารที่มุ่งเน้นการเติบโตตามเป้าหมายเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม ภายใต้สภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่ท้าทายและความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น เงินให้สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากความต้องการสินเชื่อเพื่อการดำเนินงานและการลงทุน สะท้อนคุณภาพการเติบโตในภาคธุรกิจที่มีการฟื้นตัว
“แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปยังคงได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อภาคการส่งออกและการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ ภัยพิบัติแผ่นดินไหว ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ปัญหาเชิงโครงสร้างโดยเฉพาะในภาคการผลิต รวมถึงปัญหาการทะลัก (Flooding) ของสินค้าจีนมายังไทย ล้วนแต่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี”
ณ วันที่ 31 มี.ค. 2568 กรุงศรี ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าในระบบเศรษฐกิจไทยจากมูลค่าสินทรัพย์ สินเชื่อและเงินรับฝาก และเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 1.90 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.84 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.63 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 317.50 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 19.14% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของคิดเป็น 14.91%