สถาบันชอบ SISB โตดี-มีรายได้ประจำ พร้อมเลื่อนขึ้น SET ปี’62

บริษัท เอสไอเอสบี (SISB) เป็นผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียนในระบบตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชนแห่งแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) คาดหุ้นจะเข้าซื้อขายในวันที่ 29 พ.ย.2561 นี้

บริษัทได้รับใบอนุญาตตรงในการจัดตั้งโรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์ กรุงเทพฯ โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์สุวรรณภูมิ โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์ธนบุรี โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์เอกมัย และเป็นกิจการร่วมค้า โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์เชียงใหม่ มีการเรียนการสอนที่มีคุณภาพพร้อมสถานศึกษาที่เป็นมาตรฐานสากล ใช้หลักสูตรการศึกษาจากสิงคโปร์ที่ได้รับยอมรับในระดับโลก

ปัจจุบันมีนักเรียนจำนวน 2,334 คน ตั้งเป้าจะเพิ่มเป็นมากกว่า 4,000 คนในช่วง 3-5 ปี โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม


นักลงทุนสถาบันจองซื้อหุ้น SISB ในราคาหุ้นละ 5.20 บาท ล้นถึง 13 เท่า เพราะหุ้นโรงเรียนมีจุดเด่น ในเรื่องของการมีกระแสเงินสดและรายได้ประจำสม่ำเสมอ รวมถึงยังมีโอกาสขยายตัวสูง นักเรียนเริ่มเข้ามาเรียนในระดับเตรียมอนุบาล หลังจากนั้นยังคงเรียนต่อเนื่องตามการเลื่อนชั้นในแต่ละปี และมีนักเรียนใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี ส่งผลให้กำไรเติบโตดี

หุ้นโรงเรียนมีรายได้ประจำที่สมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งจะเป็นสิ่งที่นักลงทุนกำลังมองหาโอกาสลงทุน และธุรกิจยังมีโอกาสเติบโตมาก เป็นยิ่งกว่าหุ้นโรงไฟฟ้าที่มีรายได้ประจำจากการขายไฟในระยะยาว โรงเรียนมี Backlog คือค่าแรกเข้า ทยอยรับรู้เป็นรายได้แน่นอน ไม่เหมือนบางธุรกิจที่จะรับรู้รายได้เมื่อขายได้หรือเมื่อมีลูกค้ามาโอน เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนสถาบันแสดงความสนใจจองซื้อหุ้น SISB ล้นถึง 13 เท่า และบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไร ”

สำหรับนักลงทุนที่สนใจหุ้น SISB ดำเนินธุรกิจด้านการศึกษานานกว่า 17 ปี ไม่ต้องตกใจกับตัวเลขกำไรที่สวิงลงแรง หากเห็นข้อมูลในช่วง 2-3 ปีนี้ จากปี 2559 มีกำไรสุทธิ 69 ล้านบาท ในปี 2560 ตกมาเหลือเพียง 17 ล้านบาท

ต้นเหตุไม่ได้เกิดจากฝีมือของผู้บริหารแย่ลง หรือธุรกิจเผชิญกับปัญหาอะไร

SISB ต้องปฎิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เมื่อจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 15 หรือ TFRS15

นั่นหมายความว่า ที่ผ่านมา บริษัทเคยรับรู้รายได้ค่าแรกเข้าจำนวน 2 แสนบาทต่อคนในปีนั้นทันที เมื่อมีนักเรียนใหม่สมัครเข้ามาเรียนปีแรกประมาณ 250 คน และไม่มีการคืนเงินให้กับผู้ปกครองในทุกกรณี

ตามมาตรฐานการบันทึกบัญชีใหม่ บริษัทต้องปรับปรุงการลงบัญชีเป็นทยอยรับรู้ค่าแรกเข้าเฉลี่ย 6 ปี ตั้งแต่งบการเงินย้อนหลัง 3 ปี (2558-2560) ส่งผลให้กำไรลดลงเหลือ 50.43 ล้านบาท 69.83 ล้านบาท และ 17.92 ล้านบาทตามลำดับ จากมาตรฐานบัญชีเดิมมีกำไรสุทธิ 76.51 ล้านบาท 84.73 ล้านบาท และ 59.60 ล้านบาท

การปรับปรุงงบการเงินตามมาตรฐานการบันทึกบัญชีใหม่เป็น TFRS15 ส่งผลให้กำไรสุทธิของบริษัทต่ำกว่าเกณฑ์ของการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) คือ จะต้องมีกำไรสุทธิ 2 ปี รวมอย่างน้อย 50 ล้านบาท และปีล่าสุดก่อนยื่นคำขอมีกำไรสุทธิไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท แต่บริษัทมีกำไรสุทธิเพียง 17.92 ล้านบาท จึงต้องเข้าตลาด mai แทน

อย่างไรก็ตาม จากผลการดำเนินงานในปี 2561 รวม 9 เดือน บริษัทมีกำไรสุทธิ 71.54 ล้านบาท ยังไม่รวมผลงานไตรมาสที่ 4 ทำให้มั่นใจว่าบริษัทมีคุณสมบัติพร้อมจะเลื่อนชั้นขึ้นจดทะเบียนใน SET ได้ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป แต่คงไม่รีบดำเนินการตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากเพิ่งมาเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai

การเสนอขายหุ้นในภาวะตลาดหุ้นผันผวน อาจจะมีหุ้นไอพีโอหลายตัวเลื่อนการเสนอขายในช่วงนี้ แต่ SISB ไม่ถอย เพราะมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและกลับมองเป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุนในขณะนี้ในการซื้อหุ้น SISB เพราะบริษัทยังมีเวลาเก็บเกี่ยวรายได้ค่าแรกเข้าในอดีตมาจนถึงปัจจุบันและในอนาคต เมื่อรวมกับผลการดำเนินงานปกติ ส่งผลให้กำไรเติบโตสูง

ขณะเดียวกัน บริษัทได้ผ่านการลงทุนขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาทมาแล้ว ในเฟส 2 โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์ กรุงเทพฯ ที่ประชาอุทิศ ขยายการรองรับนักเรียนจาก 1,500 คนเพิ่มเป็น 2,170 คน และการเปิดโรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์ธนบุรี มา 1 ปี 3 เดือน ซึ่งเติบโตเร็วมาก ปีแรกตั้งเป้ารับนักเรียนจำนวน 120 คน ปรากฎว่ามีนักเรียนเข้ามาจำนวน 365 คน ปัจจุบันมีทั้งหมด 472 คน เพราะฉะนั้นนักเรียนที่เข้ามาเพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง ตามคำแนะนำปากต่อปากของผู้ปกครอง ถึง 90% และชื่อเสียงของโรงเรียนได้รับการยอมรับมากขึ้น ส่งผลให้รายได้เติบโตสูง ขณะที่ค่าใช้จ่ายประจำเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย

นอกจากนี้เงินที่ระดมได้จากการขายหุ้นให้ประชาชนครั้งแรก(ไอพีโอ)จำนวน 1,229 ล้านบาท ส่วนหนึ่งนำไปชำระหนี้ ลดภาระดอกเบี้ยจ่ายปีละ 30 ล้านบาท ช่วยเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น) ซึ่งปัจจุบันอยู่สูงเกือบ 40%

“SISB เป็นหุ้น Growth stock มีรายได้มั่นคงจากรายได้ที่นักเรียนเข้ามาเพิ่มขึ้น และการปรับค่าเทอมเฉลี่ย 5-7% ต่อปี จากค่าเทอมเฉลี่ย 4 แสนบาทต่อปี รวมถึงโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ”

บริษัทยังมองหาโอกาสขยายธุรกิจในประเทศและออกไปต่างประเทศ แถว CIMV และจีน สร้างรายได้ค่าบริหาร รวมถึงการให้ใช้แบรนด์ ซึ่งปัจจุบันมีนักลงทุนจากจีน กัมพูชา แสดงความสนใจเข้ามาแล้ว

สำหรับหุ้นที่เสนอขายจำนวน 260 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 5.20 บาท จากราคาพาร์ 0.50 บาท คิดเป็นพี/อี 59 เท่าไม่สามารถเปรียบเทียบกับหุ้นที่ซื้อขายในตลาดว่าถูกหรือแพง แต่ซื้อขายต่ำกว่าพี/อีเฉลี่ยของตลาด mai ที่ 70 เท่า ส่วนหุ้นโรงเรียนในต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง-จีน เทรดที่พี/อีสูงกว่า 100 เท่า ที่สิงคโปร์ อยู่ที่ 40 เท่า

SISB จึงเป็นหุ้นตัวหนึ่งที่เสนอเป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุน หากต้องการลงทุนในธุรกิจที่มีรายได้ประจำสม่ำเสมอและมีโอกาสเติบโตสูง!!!