ดาวโจนส์ปิดร่วง 527 จุด หุ้น UnitedHealth ดิ่ง จับตาเจรจาการค้า

HoonSmart.com> ดัชนีดาวโจนส์ปิดร่วง 527 จุด แรงขายหุ้น UnitedHealth บริษัทประกันสุขภาพใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ มีน้ำหนักมากสุดในดัชนี ราคาร่วงกว่า 22% หลังปรับลดคาดการ์กำไรปีนี้ ฉุดหุ้นบริษัทประกันสุขภาพรายอื่น ๆ ร่วงตาม ด้านหุ้นเทคโนโลยีปรับตัวลงต่อ ตลาดยังจับตาเจรจาการค้า ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” พุ่งกว่า 3% ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดลบเล็กน้อย ECB ลดดอกเบี้ยตามคาด

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 17เมษายน 2568 ปิดที่ 39,142.23 จุด ลดลง 527.16 จุด หรือ -1.33% ด้วยแรงฉุดจากหุ้น UnitedHealth บริษัทประกันสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหุ้นที่มีน้ำหนักมากสุดในดัชนี ร่วงลงกว่า 22% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์กำไรทั้งปี และรายงานผลกำไรและรายได้ที่ต่ำกว่าคาด

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 5,282.70 จุด เพิ่มขึ้น 7.00 จุด, +0.13%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 16,286.45 จุด ลดลง 20.71 จุด, -0.13%

การร่วงลงของ UnitedHealth ยังฉุดหุ้นบริษัทประกันสุขภาพรายอื่น ๆ ให้ลดลงตาม โดยหุ้น CVS Health ลดลง 1.84% และหุ้น Humanaร่วงลง 7.4%

การซื้อขายผันผวน ก่อนปิดทำการในวันศุกร์ เนื่องในวัน Good Friday เนื่องจากภาษีศุลกากรยังคงสร้างความกังวลให้กับนักลงทุน ในขณะที่จับตาความคืบหน้าที่อาจเกิดขึ้นในการเจรจาการค้า และความขัดแย้งระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์กับประธานธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) เจอโรม พาวเวลล์ กลับมาอีกครั้ง หลังจากทรัมป์โจมตีพาเวลล์ที่ให้ภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับเศรษฐกิจภายใต้มาตรการภาษีนำเข้า โดยขู่ที่จะปลดออกจากตำแหน่งจากการที่ไม่เร่งลดดอกเบี้ย

หุ้น Nvidia ร่วงลงเกือบ 3% ต่อเนื่องจากที่ร่วงลงเกือบ 7% ในวันก่อนหน้า หลังจากเปิดเผยว่าต้องบันทึกค่าใช้จ่ายรายไตรมาสมูลค่าประมาณ 5.5 พันล้านดอลลาร์ที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกหน่วยประมวลผลกราฟิก H20 หรือ GPU ไปยังจีนและจุดหมายปลายทางอื่นๆ อันเนื่องมาจากการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม หุ้นที่มีชื่อเสียงอื่นๆ ก็สร้างแรงหนุนให้ตลาด โดยหุ้น Eli Lilly พุ่งขึ้น 14% หลังจากรายงานผลการทดลองยาช่วยลดน้ำหนักในเชิงบวก หุ้น Netflix พุ่งขึ้น 1% ก่อนที่ยักษ์ใหญ่สตรีมมิ่งจะรายงานผลประกอบการ

ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในช่วงบ่าย หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่าเขาคาดว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับจีนและสหภาพยุโรปได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อปิดตลาด ดัชนีหลักยังคงปรับตัวลดลงในสัปดาห์นี้ โดยดัชนีดาวโจนส์และ Nasdaq ลดลงกว่า 2% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ลดลง 1.5%

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ ได้แก่จำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ที่แล้ว จากกระทรวงแรงงานซึ่งลดลง 9,000 ราย มาที่ 215,000 ราย ต่ำกว่า225,000 รายที่นักวิเคราะห์คาด

กระทรวงพาณิชย์รายงาน การเริ่มต้นสร้างบ้านเดือนมีนาคมลดลง 11.4% มาที่ 1.324 ล้านยูนิต และต่ำกว่า1.420 ล้านยูนิตที่นักวิเคราะห์คาด

ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเล็กน้อย หลังจากธนาคารกลางยุโรป(ECB) ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามที่คาดไว้ ขณะที่นักลงทุนวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของบริษัทเพื่อประเมินผลที่ตามมาจากนโยบายการค้าที่ไม่แน่นอนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ

ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 506.42 จุด ลดลง 0.67 จุด, -0.13%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,275.66 จุด เพิ่มขึ้น 0.06 จุด, +0.00%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,285.86 จุด ลดลง 44.11 จุด, -0.60%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 21,205.86 จุด ลดลง 105.16 จุด, -0.49%

ปริมาณการซื้อขายค่อนข้างเบาบางก่อนวันหยุดสุดสัปดาห์สี่วันในวันศุกร์ เนื่องในวัน Good Friday และวันจันทร์เนื่องในวันอีสเตอร์

ECB ลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่เจ็ดในรอบปี โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเป็น 2.25% เพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจที่กำลังประสบปัญหาจากภาษีศุลกากร และความไม่แน่นอนส่งผลกระทบต่อการบริโภคและการลงทุน

ฤดูกาลรายงานผลประกอบการในยุโรปเริ่มต้นขึ้นแล้ว โดย Hermes ของฝรั่งเศสร่วงลง 3.2% หลังจากที่ผู้ผลิตกระเป๋า Birkin รายงานยอดขายไตรมาสที่ลดลง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เช่นเดียวกับ LVMH คู่แข่งที่รายงานยอดขายต่ำกว่าที่คาดในสัปดาห์นี้เช่นกัน

นักวิเคราะห์ได้ปรับลดการคาดการณ์ผลกำไรของบริษัทในยุโรปลง เนื่องจากการเก็บภาษีตอบโต้กันทำให้แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกลดลง ส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาด ซึ่งคล้ายกับช่วงแรกๆ ของการระบาดของ COVID-19

ดัชนี STOXX 600 ปรับตัวลงประมาณ 10% แล้วจากระดับปิดสูงสุดในเดือนมีนาคม และลดลงกว่า 5% จากระดับก่อนที่ทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ซึ่งทำให้ตลาดทั่วโลกผันผวน
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มธนาคารในยูโรโซนลดลงกว่า 1% แต่ราคาน้ำมันดิบที่ปรับสูงขึ้นช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานบวก 1.6%

หุ้น Siemens Energy บริษัทพลังงานของเยอรมนีพุ่งขึ้น 10.5% หลังปรับเพิ่มแนวโน้มผลประกอบการปีบัญชีปัจจุบัน และรายงานอัตรากำไรที่ดีที่สุดนับตั้งแต่แยกตัวออกจากSiemens AG ซึ่งเป็นบริษัทแม่

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้น 2.21 ดอลลาร์ หรือ 3.54% ปิดที่ 64.68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 2.11 ดอลลาร์ หรือ 3.20% ปิดที่ 67.96 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 
 
 
 
 
 
———————————————————————————————————————————————————–