MFC แนะเพิ่มน้ำหนัก “ตราสารหนี้ไทย-ทอง” ฝ่าตลาดผันผวน Q2/68 ภาษีทรัมป์ป่วนโลก

HoonSmart.com>> บลจ.เอ็มเอฟซี (MFC) แนะกลยุทธ์ลงทุนไตรมาส 2/68 รับมือความผันผวนภาษีทรัมป์ ระยะสั้น 3 เดือน เพิ่มน้ำหนักลงทุน “ตราสารหนี้ไทย-ทองคำ” ส่วนหุ้นไทยคาดดัชนียังแกว่งตัวผันผวน ปัจจัยบวกในประเทศยังมีจำกัด นักลงทุนกังวลภาษีสหรัฐฯ คาดกนง.หั่นดอกเบี้ยประชุม 30 เม.ย.นี้ พร้อมคัดกองทุนเด่น “MUSPIN-H , MUSPIN-UH” โอกาสรับ Income สม่ำเสมอ

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี (MFC) เผยกลยุทธ์การลงทุนในไตรมาส 2/2568 มองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 2/2568 ดัชนีจะเคลื่อนไหว Sideways ภาพรวมระยะสั้นคาดว่าดัชนียังแกว่งตัวผันผวน เนื่องจากปัจจัยบวกในประเทศยังมีจำกัด อีกทั้งนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศของไทยในอนาคต

แม้ว่าล่าสุดการค้าระหว่างประเทศของไทยในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.พ.68) การส่งออกมีมูลค่ารวม 51,984 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 13.8% สูงกว่าตัวเลขการนำเข้าส่งผลให้ 2 เดือนแรกของปีนี้ไทยเกินดุลการค้า 108 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนภาคการท่องเที่ยวยังคงเติบโตได้

สำหรับปัจจัยราคาของดัชนีตลาดหุ้นไทยนั้น โดยปัจจุบันค่า Forward P/E ของดัชนี SET Index อยู่ที่ 11.81 เท่า (ณ วันที่ 7 เม.ย.2568) ดังนั้นจึงมีมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยทั้งระยะสั้น 0-3 เดือนและระยะยาว 6-12 เดือน เป็น Neutral กองทุนแนะนำ ได้แก่ M-FOCUS, M-MIDSMALL, M-S50, HI-DIV และ M-MEGA

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ที่เกิดขึ้น ทำให้ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลงจากจุดสูงสุดราว -18% (Drawdown) มาอยู่ที่บริเวณ 5,062 จุด โดยปัจจุบันมีค่า Forward P/E Ratio อยู่ที่ 18.94 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังระยะยาว 10 ปี ซึ่งเป็นระดับ Valuation ที่เริ่มทยอยลงทุนได้ สำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการผลตอบแทนเติบโตในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงมีความผันผวนสูงจากความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แนะนำให้ลงทุนตามสัดส่วนและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

“MFC ให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ระยะสั้น 0-3 เดือน เป็น Neutral ขณะที่ระยะยาว 6-12 เดือน ให้น้ำหนักเป็น Overweight กองทุนแนะนำ MUSPIN-H, MUSPIN-UH, MGF, M-VI และ MGMVOL”

ตลาดหุ้นยุโรป สำหรับไตรมาส 2/2568 คาดว่าตลาดหุ้นยุโรปยังอยู่ในแนว sideways แต่มีความผันผวนมากขึ้น จากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการค้ากับสหรัฐฯ ในเรื่องการเก็บภาษีศุลกากรและนโยบายการคลังที่เข้มงวดขึ้น แม้การกระตุ้นทางการคลังขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มการใช้จ่ายของภาครัฐในด้านการป้องกันและโครงสร้างพื้นฐานของเยอรมนี มีแนวโน้มจะช่วยเพิ่มการเติบโตของ GDP ในยูโรโซนได้

“ให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปที่ Neutral จากความเสี่ยงในเรื่องความผันผวนในระยะสั้นจากความกังวลเกี่ยวกับการเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่อาจกระทบการเติบโตทางเศรษฐกิจกองทุนแนะนำ ได้แก่ MEURO”

ตลาดหุ้นจีน สำหรับไตรมาส 2/2568 มองว่าตลาดจะค่อนข้างผันผวน จากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น หลังสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมากกว่า 50% ทำให้จีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตรา 34% ประธานาธิบดีสหรัฐขู่ว่าจะเพิ่มภาษีสินค้าจีนอีก 50% หากจีนไม่ยกเลิกมาตรการตอบโต้ภายในวันที่ 8 เม.ย. นี้ เรามองว่าตลาดหุ้นจีนจะเผชิญความผันผวนจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้า จึงยากที่จะประเมินสถานการณ์และผลกระทบที่จะเกิดขึ้น

“MFC มองว่าตลาดหุ้นจีนจะเผชิญความผันผวนจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้า จึงยากที่จะประเมินสถานการณ์และผลกระทบที่จะเกิดขึ้น จึงปรับมุมมองระยะ 0-3 เดือน จาก Overweight เป็น Neutral แต่ยังคงมุมมอง Neutral ในระยะ 6-12 เดือน กองทุนแนะนำ MCHINA, MCHEVO “

ตลาดหุ้นอินเดีย สำหรับไตรมาส 2/2568 คาดว่าผันผวนตามตลาดหุ้นโลกจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้า หลังทรัมป์ ประกาศภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับนานาประเทศ รวมถึงอินเดียที่ 27% ถึงแม้ว่าประเทศอินเดียจะมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ คิดเป็น 2% ของ GDP ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชีย (จีน 2.7% ญี่ปุ่น 3% เวียดนาม 23%) แต่การที่ประธานาธิบดีสหรัฐมีท่าทีที่แข็งกร้าว ทำให้เกิดความกังวลต่อสภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลก

“MFC มีมุมมองที่ระมัดระวัง เราปรับมุมมองระยะ 0-3 เดือน ลงจาก Overweight ในระยะ 6-12 เดือน กองทุนแนะนำ MINDIA”

ส่วนตลาดตราสารหนี้ต่างประเทศ สำหรับไตรมาส 2/2568 มุมมองการลงทุนระยะสั้นให้น้ำหนัก Neutral คาดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี จะปรับขึ้นหรือลงได้อย่างจำกัด ท่ามกลางความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯถดถอย ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯที่จะสูงขึ้นจากผลกระทบอัตราภาษีใหม่นำเข้าของสหรัฐฯ รวมทั้งความคาดหวังสูงของตลาดต่อการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ กลุ่มหุ้นกู้เอกชน พบว่า credit spread ปรับขึ้นสูงอย่างมาก

สำหรับการลงทุนระยะยาว ให้น้ำหนักการลงทุน Overweight คาดเฟดยังปรับลดดอกเบี้ยสหรัฐฯ ต่อเนื่องในระยะยาว รวมทั้งความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอย ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจะปรับตัวลงในระยะยาวและได้ส่วนต่างของราคา (Capital gain) แนะนำ ถือตราสารหนี้คุณภาพสูงและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ให้ Yield ที่น่าสนใจ 4-5%

ตลาดตราสารหนี้ไทย ในไตรมาส 2/2568 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโมีอกาสเพิ่มขึ้นที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 1.75% ต่อปี ในการประชุมเดือนเม.ย.68 จากความเสี่ยงด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจ และคาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 กนง. มีโอกาสที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% สู่ระดับ 1.50% ต่อปี หากการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ เราปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ไทยเป็น overweight เนื่องจากคาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก และตลาดหุ้นอาจมีความผันผวนจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ

ทองคำ ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ (All-Time High) ที่ระดับ 3,167 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อทรอยเอานซ์ หลังสหรัฐฯ ใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับประเทศที่เกินดุลการค้าต่อสหรัฐฯ ส่งผลให้นักลงทุนหันมาซื้อทองคำมากขึ้น ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย สำหรับมุมมองระยะยาว มองความตึงเครียดของสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ และหนี้ส
าธารณะสหรัฐฯ ที่มีแมีนวโน้มสูงขึ้น ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกโดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ เข้าซื้อทองคำ เพิ่มขึ้นเพื่อเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ และเป็นการกระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

“MFC ให้น้ำหนักการลงทุนทองคำระยะสั้น 0-3 เดือนและระยะยาว 6-12 เดือน เป็น Overweight”

ส่วนน้ำมันดิบ มองว่า ราคาปัจจุบันมีแนวโน้มแกว่งตัวผันผวนในทิศทางขาลง ภาพรวมระยะสั้น นักลงทุนมีความกังวลมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะส่งผลให้เกิดการทำสงครามการค้าทั่ว โลก ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย และรวมถึงความต้องการใช้พลังงานทั่วโลกปรับตัวลดลงได้ ขณะที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ได้ทำการเพิ่มกำลังการผลิต ซึ่งจะทำให้มีน้ำมันส่วนเกินในตลาดประมาณ 1.25 ล้านบาร์เร์รล/วัน ดังนั้น เราจึงให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดน้ำมัน ทั้งระยะสั้น 0-3 เดือน และระยะยาว 6-12 เดือน เป็น Underweight

กองทุนอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก ให้น้ำหนักการลงทุนระยะสั้นและยาว Neutral ปัจจัยกดดันความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย อาจส่งผลต่อการปรับประมาณการณ์การเติบโตของรายได้ ค่าเช่า อสังหาริมริทรัพย์ลงได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยจั ราคาของ Global REITs พบว่าว่ Price to Book Ratio ปรับลงมาที่ 2.29 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี(1 S.D.) และการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในระยะยาวจะช่วยให้ต้นทุนการเงินของกลุ่มอสัหาริมทรัพย์ลดลงได้

“กองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทยและสิงคโปร์ ให้น้ำหนักการลงทุนระยะสั้นและยาว Neutral ปัจจัยกดดันตลาดจากเศรษฐกิจเอเชียชะลอตัวลงจากผลกระทบอัตราภาษีนำเข้าใหม่ของสหรัฐฯ ที่เรียกเก็บกลุ่มประเทศเอเชีย และจีนที่สูง ทั้งนี้ ปัจจัยราคาที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี และ Dividend Yield ที่สูง 5%-8% รวมทั้ง คาดการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยจะช่วยหนุนอสังหาริมทรัพย์ไทยได้”