“คิงส์ฟอร์ด” ตั้งรับ 1,060–1,065 จุด เทรดวอร์ระอุ ติดตาม Fed Minutes

HoonSmart.com>>บล.คิงส์ฟอร์ด คาดตลาดยังถูกกดดันจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนทวีความรุนแรง แนวรับดัชนี 1,060 – 1,065 จุด ส่วนแนวต้าน 1,080 – 1,090 จุด แนะนำพักเงินในกลุ่มปลอดภัย “ADVANC,TRUE, BCH” กลุ่มไฟแนนซ์ “MTC, TIDLOR” ดักกนง.ลดดอกเบี้ย พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่น BDMS,TIDLOR

บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด วางแนวรับดัชนี SET ที่ 1,060 – 1,065 จุด แนวต้าน 1,080 – 1,090 จุด คาดยังถูกกดดันจากภาวะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ล่าสุดประธานาธิบดีทรัมป์ จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มอีก 50% อยู่ที่ 104% หลังจีนตอบโต้ภาษี และรอผลการเจรจาการค้าของคณะทำงานไทยและ USTR ซึ่งสหรัฐเรียกเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากไทยที่อัตรา 37% ส่งผลกระทบลบต่อมูลค่าออกไทย ซึ่งสหรัฐเป็นตลาดส่งออกไทยใหญ่สุดอันดับ 1 ของไทยในปีที่ผ่านมามีสัดส่วน 18% ปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลให้ GDP ไทยปีนี้ขยายตัวต่ำกว่าระดับ 2% และหากสงครามาการค้าสหรัฐ – จีน ยีดเยื้ออาจส่งลบไปยังการลงทุนและการจ้างงานในประเทศด้วย

กลยุทธ์การลงทุน แนะนำพักเงินในกลุ่มปลอดภัย เช่น ADVANC,TRUE, BCH กลุ่มไฟแนนซ์ MTC, TIDLOR คาดได้ประโยชน์หาก กนง.ลดดอกเบี้ย

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐวานนี้ปรับลดลง DJIA -0.84%, S&P500 -1.57%, Nasdaq -2.15% จากแรงขายกลุ่มวัสดุ -2.96%, สินค้าฟุ่มเฟือย -2.54% ขณะที่กลุ่มประกัน +5.4% ตลาดสหรัฐยังถูกกดดันจากภาวะสงครามการค้า หลังวันนี้เตรียมเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มอีก 50% เป็น 104% ซึ่งจะมีผลวันนี้ หลังจีนตอบโต้สหรัฐด้วยการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐที่อัตรา 34% จากปัจจัยดังกล่าวบ่งชี้ภาวะสงครามการค้ามีแนมโน้มรุนแรงด้วย โดย JPMorgan ชี้มีโอกาส 60% ที่เศรษฐกิจสหรัฐอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย

ด้านข้อมูลเศรษฐกิจค่ำวันนี้ติดตาม Fed Minutes, วันพฤห้ส US CPI มี.ค. คาด 2.5% และก.พ. 2.8% YoY และวันศุกร์ ม.มิชิแกนรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐ เม.ย. คาด 54.0 และ มี.ค. 57.0 , คาดการณ์เงินเฟ้อสหรัฐ 1 ปีข้างหน้า มี.ค. คาดที่ 5.1% และรายงานกำไร Q1/68 ของ JPMorgan, Morgan Stanly, Wells Fargo

ตลาดหุ้นยุโรป Stoxx600 +2.72% ได้แรงหนุนจากกลุ่มป้องกันประเทศ +5.1%, ธนาคาร +2.3% และประกัน +4.1% เป็นการฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในรอบ 14 เดือน

หุ้นเด่นแนะนำ TIDLOR (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 20.20 บาท) บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 4Q67 ที่ 1 พันล้านบาท เติบโต QoQ, YoY แม้ว่า NIM จะปรับลดลงต่อจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น และมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงกว่าไตรมาสอื่น แต่ได้รับการชดเชยจากการตั้งสำรองที่ลดลงสอดคล้องกับคุณภาพสินเชื่อที่ดีขึ้น โดย NPL ratio ลดลงเหลือ 1.8% เป็นผลจากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อและอานิสงส์มาตรการแจกเงินของรัฐบาล ส่วนรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยดีขึ้นจากธุรกิจนายหน้าขายประกัน รวมปี 67 มีกำไรสุทธิ 4.2 พันล้านบาท +12%YoY

สำหรับแนวโน้มปี 68 ตลาดคาดกำไรราว 4.8 พันล้านบาท +13%YoY หนุนจาก NIM ที่เริ่มทรงตัวต้นทุนดอกเบี้ยน่าจะใกล้ถึงจุดสูงสุด ขณะที่สินเชื่อรวมปรับเพิ่มขึ้นใกล้ปีก่อนราว +7% เน้นจำนำทะเบียนและยังเข้มงวดกับสินเชื่อรถบรรทุกมือสองที่มีความเสี่ยงสูง ส่วนคุณภาพสินเชื่อจะดีขึ้นการตั้งสำรองจะปรับลดลง และผลขาดทุนรถยึดจะชะลอลง

หุ้น BDMS (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 36.00 บาท) กำไรสุทธิ 4Q67 อยู่ที่ 4,333ลบ. (+9.64%YoY, +2.04%QoQ) หนุนจากรายได้ผู้ป่วยต่างชาติ(รวม +10% นำโดยการ์ตา +56%YoY/ จีน +34%YoY/USA +29%YoY) ด้านต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ดี ประจวบกับรายได้อื่นที่สูงขึ้นจาก Mövenpick BDMS Wellness Resort และมี Tax Credit ส่งผลให้ GPM และNPM สูงขึ้น YoY QoQ ส่วน 1Q68 แม้มีปัจจัยกดดันจาก 1.ประกันรูปแบบ Co-pay ตั้งแต่ 20 มี.ค.68 และ 2.รอมฎอนในช่วง 28ก.พ.-29มี.ค.68

อย่างไรก็ตาม คาดว่าการดำเนินงานจะยังสามารถอยู่ในเกณฑ์ดีได้จากร.พ.ในต่างจังหวัดที่ทำได้ดีในช่วงปี67 ที่ผ่านมา ส่วนภาพรวมรายได้ ม.ค.-ก.พ.68 ยังเห็นการบวกต่อเนื่องได้ดี YoY โดย ผู้บริหารวางเป้าการเติบโตของรายได้ในช่วง 1H68 ราว +7 ถึง 8%YoY

 
 
 
 
 
———————————————————————————————————————————————————–