ทั่วโลกส่อหยุดลงทุน ศก.จ่อชะงัก-ฉุดกำไรบจ.

HoonSmart.com>>บล.พายคาดเศรษฐกิจโลกเผชิญภาวะชะงัก ผู้ประกอบการทั่วโลกจะหยุดการลงทุน ฉุดกำไรบริษัทจดทะเบียนเกณฑ์ Celling , Floor จาก 30% เป็น 15% พร้อมห้ามขาย Short ทุกหลักทรัพย์ ช่วยจำกัด Downside แต่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่ฟื้น

บล.พาย ระบุว่า Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 349 จุด (-0.9%) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาษีศุลกากรของ Trump จะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอลงพร้อมกับเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 2% แตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 4 ปีจากความกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับนานาประเทศ

ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับฐานแรงในช่วงเมื่อวานที่ผ่านมา เพราะแรงกดดันจากภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯกับประเทศต่างๆ ซึ่งบางประเทศก็ส่งสัญญาณต้องการเจรจากับสหรัฐฯแต่บางประเทศก็ไม่ต้องการเจรจาและกลับใช้นโยบายที่เข้มงวดต่อสหรัฐฯเช่นกัน อย่างเช่นจีนได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯครอบคลุมทุกสินค้าอีก 34% (เริ่มบังคับใช้ 10 เม.ย.)
ขณะที่ฝรั่งเศสได้ประกาศระงับการลงทุนในสหรัฐฯพร้อมขอแรงจากกลุ่ม EU ในการตอบโต้สหรัฐฯจากการกระทำด้านภาษี

อย่างไรก็ตามบางประเทศก็ขอเข้าเจรจากับสหรัฐฯ อาทิ เวียดนาม และสหรัฐฯได้เผยว่ามีอีกหลายประเทศได้ติดต่อเข้ามาเพื่อขอเจรจา
สำหรับประเทศไทยในวันที่ 8 เม.ย.นี้ คณะทำงานของรัฐบาลจะสรุปแนวทางด้านภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐฯอีกครั้ง เบื้องต้นจะเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯในด้านพลังงาน อากาศยาน สินค้าเกษตร พร้อมเตรียมส่งรัฐมนตรีคลังไปเจรจากับสหรัฐฯในเร็วๆนี้

แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยข้างต้นยังใช้ระยะเวลาและคงไม่น่าจะเห็นผลต่อเศรษฐกิจไทยในเร็วนี้

ทั้งนี้สิ่งอื่นใดก็คือเศรษฐกิจโลกคงเผชิญกับภาวะชะงัก เชื่อว่าผู้ประกอบการทั่วโลกจะหยุดการลงทุน ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจ แต่การหยุดการลงทุนจะนำมาซึ่งปัญหาเรื่องเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนเสี่ยงเผชิญกับการปรับลดประมาณการเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้น

แม้หุ้นทั่วโลกรวมถึงหุ้นไทยจะปรับลงมาแล้วจนทำให้ Valuation ไม่แพงและค่อนข้างไปในทางถูกมาก (Under Value) แต่เชื่อว่าการปรับขึ้นยังเป็นไปได้ยากแนะนักลงทุนอย่าพึ่งเร่งร้อนเข้าลงทุน

ล่าสุดวานนี้ตลาดหลักทรัพย์ได้ออกมาปรับเกณฑ์ Celling , Floor จาก 30% เป็น 15% พร้อมห้ามขาย Short ทุกหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราวในระหว่างวันที่ 8 – 11 เมษายน มาตรการข้างต้นไม่มีผลกับ Upside แต่อาจช่วยจำกัด Downside เพราะ Floor ถูกจำกัดไว้

แต่ท้ายที่สุดแล้วยังให้น้ำหนักกับปัจจัยพื้นฐานมากกว่า ซึ่งยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจนต่อให้ไม่มีปัจจัยจากทรัมป์เศรษฐกิจไทยก็ขยายตัวต่ำอยู่แล้ว

ส่วนเมื่อคืนที่ผ่านมามีข่าวจากสหรัฐฯระบุว่าจะเร่งขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเป็น 50% หากจีนยังยืนยันจะปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯที่ 34%

สัปดาห์นี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1,095 – 1,140 ระหว่างสัปดาห์ประเมินผันผวนไปตามปัจจัยต่างประเทศหากมีข่าวปรับขึ้นภาษีก็เสี่ยงจะเกิดการปรับฐานแต่หากมีข่าวเจรจาก็อาจเห็นฟื้นตัว แต่การฟื้นตัวยังจำกัดท่ามกลางความเสี่ยงที่รออยู่ช่วงถัดไป

ดังนั้นเชิงกลยุทธ์การลงทุนนักลงทุนระยะกลาง – ยาว ยังให้สะสมแต่เน้นที่หุ้นพื้นฐานดีเช่นเดิม อาทิ ค้าปลีก (BJC CRC CPALL) ศูนย์การค้า (CPN) โรงแรม (CENTEL MINT) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB) การเงิน (MTC SAWAD)

MTC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 53.00 บาท)
เห็นด้วยกับบริษัทที่จะเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพต่อเนื่องในปี 2568 เพราะความท้าทายจากเศรษฐกิจฟื้นตัวช้าที่จะกดดันคุณภาพสินเชื่ออ่อนแอลงได้ เราคาดว่ากำไรสุทธิในปี 2568 จะเติบโตแข็งแกร่ง 17.3% ในปี 2568 และ ROE เพิ่มขึ้น เป็น 17.2% ในปี 2568 ด้านผลการดำเนินงานใน 4Q67 กำไรสุทธิออกมาตามคาดที่ 1.54 พันล้านบาท (+14.2% YoY, +3.5% QoQ) ด้านงบดุล NPL ratio ปรับลดลงเหลือ 2.75% และ Coverage ratio ปรับขึ้นเป็น 135.3%

BDMS (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 28.00 บาท)
ประกาศกำไรสุทธิ 4Q67 สูงที่ 4.3 พันล้านบาท (+9% YoY, +2% QoQ) หนุนกำไรสุทธิปี 2567 เติบโตอยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท (+11% YoY) เป็นไปตามทิศทางเดียวกับที่เราและตลาดคาด
สำหรับในปี 2568 คาดกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่องหนุนจาก 1) แผนขยายจำนวนโรงพยบาลและเตียงผู้ป่วย และ 2) การเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติ