TQM ตั้งเป้ารายได้โต 5-10% ดีล M&A รู้ผลมิ.ย.-ยืนแผนนำลูกIPO

HoonSmart.com>>ทีคิวเอ็มฯ ตั้งเป้ารายได้โตเฉลี่ยปีละ 5-10% ยืนยันเดินหน้านำบริษัทลูก 3 ธุรกิจเข้า IPO ตามแผน เร่งขยาย 3 ธุรกิจหลัก ประกัน การเงิน เทคโนโลยีแพลตฟอร์ม แย้มดีลซื้อกิจการกลางปีนี้รู้ผล เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 แนวโน้มดี

น.ส.อาริยา ศิลากร นักลงทุนสัมพันธ์ บริษัททีคิวเอ็ม อัลฟา (TQMalpha) เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ปี 2567-2570 ตั้งเป้ารายได้เติบโตปีละ 5-10% จากปี 2566 ที่มีรายได้ 3,756.82 ล้านบาท และวางเป้าหมายเบี้ยรับรวมแตะ 50,000 ล้านบาทในปี 2570 ภายใต้ 7 กลยุทธ์การดำเนินงาน คือ การหาพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ๆ เปลี่ยนคู่แข่งเป็นคู่ค้า พัฒนาเทคโนโลยีและใช้ข้อมูลเข้ามาช่วยมากขึ้น พัฒนาบุคลากร พยายามทำให้ลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์มากกว่า 1 ชนิด และการซื้อกิจการที่จะเข้ามาเสริมการเติบโตของทีคิวเอ็ม

นายสุรัตน์ ประลองศิลป์ ประธานบริหารการพัฒนาธุรกิจ บริษัททีคิวเอ็ม อัลฟา กล่าวว่า บริษัทเดินหน้าขยายการเติบโต 3 ธุรกิจหลัก ทั้ง ประกัน การเงิน และเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม ทั้งโตด้วยตัวเอง และโตด้วยการซื้อกิจการหรือ M&A ที่มีการศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยหนึ่งในดีลอยู่ระหว่างศึกษาข้อมูลคาดว่าจะสรุปดีลได้ในกลางปี 2567 นี้

“ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2567 มีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องจากไตรมาส 4 ผลจากการขยายตัวของตลาดประกันภัยรถยนต์ ที่มีรถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถยนต์ EV เข้ามาขับเคลื่อน ซึ่งยอดขายรถ EV เพิ่มขึ้น 500-600% และเบี้ยรถ EV ต่อคัน สูงกว่ารถทั่วไป โดยเน้นขายประกันรถยนต์อีวีปี 2 และปี 3 ทำให้รายได้เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันประกันสุขภาพ อุบัติเหตุ ก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการปล่อยสินเชื่อยังคงไปได้ดี โดยส่วนใหญ่เป็นการปล่อยสินเชื่อซื้อประกันภัยที่เป็นลูกค้าเราอยู่แล้ว เรารู้จักลูกค้าเราดี ทำให้บริหารความเสี่ยงได้ดี แทบไม่มีหนี้เสียเลย ประกันบ้าน  และประกันพาณิชย์ ก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง”นายสุรัตน์ กล่าว

นายสุรัตน์ กล่าวว่า ธุรกิจประกันภัย มีโอกาสเติบโตได้สูง เพราะเบี้ย 70% ของเบี้ยประกันภัยทั้งระบบ จะอยู่ในมือของบริษัทนายหน้าประกันภัยหรือโบรกเกอร์ แม้ว่าจะมีบริษัทนายหน้าประกันภัย ประกันชีวิตรวมกันทั้งระบบ 700-800 บริษัท แต่นายหน้ารายใหญ่ยังมียอดขายรวมกันไม่ถึง 10% ของก้อนเค้กที่มี จากความได้เปรียบของบริษัทที่มีสาขากว่า 95 แห่ง และพันธมิตรทางธุรกิจกว่า 10 บริษัท พนักงานขายร่วม 3,000 คน

ปีนี้จะมีจุดขายเพิ่มขึ้นผ่าน บริษัท มายกรุ๊ป อินเทลลิเจ้นท์ ที่ทำธุรกิจด้านดรอปพ้อยท์ ซึ่งบริษัทได้เข้าไปปล่อยกู้ 300 ล้านบาท มีสาขา 5,000 แห่ง จะมีความร่วมมือในการใช้เป็นจุดกระจายสินค้า และ จุดให้บริการ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การขยายธุรกิจโดยไม่ต้องลงทุนในสินทรัพย์ถาวร

รวมถึงมีผลิตภัณฑ์ที่มาจากบริษัทประกันภัยหลากหลายมากที่สุดเมื่อเทียบโบรกเกอร์รายอื่น และอัตราการกลับมาซื้อประกันภัยซ้ำของลูกค้าเก่ากับบริษัทมีสัดส่วน 70% ถือว่าสูงสุดในอุตสาหกรรม จึงมองว่ามีโอกาสที่จะเติบโตได้ตามเป้าหมาย

สำหรับ ธุรกิจการเงินผ่านบริษัท อีซี่ เลนดิ้ง ให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล ปีนี้ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท จากสิ้นปี 2566 ที่มีการปล่อยสินเชื่อไปแล้ว 2,000 ล้านบาท และมีสินเชื่อคงค้าง 605 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ที่มียอดคงค้าง 400 ล้านบาท สินเชื่อคงค้างค่อนข้างต่ำเพราะสัญญาเงินกู้บางสัญญาไม่ถึง 12 เดือน และลูกค้ามีการชำระหนี้คืนมาบางส่วน โดยเน้นปล่อยสินเชื่อลูกค้าประกันของบริษัทเป็นหลักซึ่งมีอยู่ประมาณ 1 ล้านรายทั่วประเทศ

“หนี้เสียน้อยมาก เพราะเรารู้จักลูกค้าของเราดี และไม่ได้ไปแข่งขันกับสถาบันการเงินอื่นๆ สินเชื่อใหม่ที่จะปล่อยเพิ่มในปีนี้ 5,000 ล้านบาท จะเป็นพรีเมี่ยมโลน คือปล่อยกู้เพื่อซื้อประกัน 50% สินเชื่อจำนำรถ 1,000 สินเชื่อจำนำรถ และที่เหลือจะเป็นสินเชื่ออื่นๆ ซึ่งวันนี้อีซี่ เลนดิ้ง ยังเติบโตได้ดี และธุรกิจยังมีกำไรอยู่”นายสุรัตน์ กล่าว

นายสุรัตน์ กล่าวว่า การนำบริษัทลูกในเครือ 3 ธุรกิจหลักเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ IPO ยังคงเป็นไปตามแผน ซึ่งกำลังจัดทัพให้เป็นไปตามเกณฑ์ใหม่ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) กับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่จะมีการปรับเกณฑ์หุ้นเข้า IPO ใหม่

ขณะที่ การเติบโตจากการเข้าซื้อกิจการ หรือ M&A นั้นยังคงมองหาธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งจะต้องเป็นธุรกิจที่ทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงฐานลูกค้าและขยายตลาดใหม่ๆ ได้ เสริมการเติบโตของ 3 ธุรกิจหลัก และเป็นธุรกิจที่มีกำไร เป็นการลงทุนที่มีความคุ้มค่าในระยะยาว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาอยู่ 1 ดีล จะสามารถสรุปได้ในกลางปีนี้ ก็ขอให้นักลงทุนรอติดตาม