HoonSmart.com>>บล.อินโนเวสท์ คาดแนวโน้มหุ้นไทยรับแรงกระแทกจากทรัมป์ประกาศภาษีรุนแรงกว่าคาด ขึ้นภาษีไทย 36% อาจมีการตอบโต้จากประเทศคู่ค้ากระทบบรรยากาศลงทุนตลาดหุ้นทั่วโลก ด้านหุ้นไทยอาจทำนิวโลว์ วางแนวรับดัชนี 1,155 – 1,145 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,165 – 1,170 จุด หุ้นเด่น BCH, DIF
บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ คาดแนวโน้มดัชนี SET ปรับลงจาก Sentiment ลบ หลังประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศภาษีศุลกากรรุนแรงกว่าที่คาด สร้างความกังวลกระทบต่อเศรษฐกิจและมูลค่าการค้าโลก หลังจากนี้ต้องจับตาปฏิกิริยาของประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษีว่าจะตามมาด้วยการเจรจาหรือการตอบโต้ ทำให้เป็น Overhang ต่อไป ประเมินแนวรับดัชนีที่ 1,155 – 1,145 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,165 – 1,170 จุด
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ ลงนามประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้ต่อประมาณ 60 ประเทศคู่ค้าในอัตราที่ต่างกันออกไป เช่น จีน 34% EU 20% ญี่ปุ่น 24% เวียดนาม 46% และ ไทย 36% มีผลวันที่ 9 เม.ย. และมาตรการภาษีแบบครอบจักรวาล (Universal Tariff) ต่อประเทศที่ไม่อยู่ในกลุ่มข้างต้นในอัตราพื้นฐาน 10% มีผลวันที่ 5 เม.ย.
Bloomberg รายงานว่าก่อนการประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ จีนได้สั่งบริษัทจีนจำกัดการลงทุนเพิ่มเติมในสหรัฐฯ ทั้งนี้ข้อจำกัดไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนที่มีอยู่ เช่น การถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ
วันนี้ GULF จะกลับมาซื้อขายในตลาดหลังเสร็จสิ้นการควบรวมกับ INTUCH ด้านทริสได้ปรับการเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรจาก A+ สู่ AA-
“บล.อินโนเวสท์ แนะกลยุทธ์การลงทุน ประเมินช่วงสั้นมอง SET แกว่งตัวผันผวน อาจมีแรงขายลดความเสี่ยงจากความกังวลผลกระทบจากแผ่นดินไหวและสงครามการค้าที่ประธานาธิบดีทรัมป์เดินหน้าขึ้นภาษีต่อเนื่องและคาดจะมีการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าคาดจะกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก และกดดันทำให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสทำนิวโลว์ อย่างไรดีหาก SET ปรับตัวลงไปในช่วง 1,100-1,130 จุด จะเป็นโอกาสลงทุน เนื่องจากมี Downside จำกัด ขณะที่พิจารณาเศรษฐกิจของจีนยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ”
ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลงทั้งภาคการผลิตและบริการจากความไม่ชัดเจนของนโยบายภาษี แต่มองจะไม่แย่อย่างที่ตลาดกังวล ด้านเงินเฟ้อไทย มี.ค. น่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. มากนัก ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
หุ้นเด่นแนะนำ BCH : มองเป็นหุ้น Defensive ซึ่งปีนี้คาดกำไรปกติจะเติบโตดีสุดในกลุ่มการแพทย์ที่ 15%YoY ปัจจัยหนุนจาก 1) การขยาย/ปรับปรุง รพ. 2) การอัพเกรด รพ. การุญเวช ปทุมธานี เป็น รพ. เกษมราษฎร์ ปทุมธานี 3) การเพิ่มบริการใหม่ๆ และ 4) การดำเนินงานที่เติบโตมากขึ้นที่ รพ. ใหม่ 3 แห่ง อีกทั้ง Valuation ไม่แพง โดยซื้อขายที่ PER 68F ระดับ 22.5 เท่า คิดเป็น -2SD ของ PER เฉลี่ยในอดีต
DIF : มองเป็นหุ้นปลอดภัยภายใต้ตลาดผันผวน โดย 1Q68 คาดกำไรปกติจะเพิ่มขึ้น YoY และ QoQ แรงหนุนจากดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงหลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อีกทั้งยังมีจุดเด่นจ่ายปันผลสูง โดยปี 68 คาดมีเงินปันผลจ่ายราว 0.9 บาท/หน่วย คิดเป็น Div. Yield สูงราวปีละ 11%