“ทีดับบลิวแซด คอร์ปอเรชั่น” ขยายธุรกิจลุยธุรกิจพลังงานเต็มสูบ ร่วมลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะอุตสาหกรรม 3 โรง กำลังผลิตไม่เกิน 30 เมกะวัตต์ สัญญาขายไฟกฟภ.ยาว 20 ปี คาดใช้เงินลงทุน 300-500 ล้านบาท จากการเพิ่มทุนขายผู้ถือหุ้นเดิม 29 พ.ย.-7 ธ.ค.นี้ ด้านผลงานฟื้นไตรมาส 3 พลิกจากขาดทุนเป็นกำไร
นายพุทธชาติ รังคสิริ ประธานกรรมการบริษัท ทีดับบลิวแซด คอร์ปอเรชั่น ( TWZ) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้บรรลุข้อตกลงในการร่วมทุนโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานขยะอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าประเภทโรงไฟฟ้าใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีพลาสมา จำนวน 1-3 โรง มีกำลังการผลิตโรงละไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ อัตรารับซื้อไฟฟ้า (Feed in Tariff หรือ FIT) ที่ 7.78 บาทต่อหน่วย โดยมีระยะเวลาตามสัญญาซื้อขายไฟจำนวน 20 ปีมูลค่าการลงทุนในสินทรัพย์ 3,000-4,000 ล้านบาท จากการประเมินมูลค่ากิจการสุทธิ (Equity Value) เบื้องต้นจะอยู่ที่ประมาณโรงละ 700-1,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ เป็นการต่อยอดจากธุรกิจพลังงานทดแทนที่ก่อนหน้านี้ TWZ ได้เข้าลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (โซลาร์ฟาร์ม) กำลังผลิต 5 เมกะวัตต์ โดยเป็นการลงทุนผ่าน บริษัท เกียร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่ง TWZ ถือหุ้นในสัดส่วน 100%
สำหรับความคืบหน้าของโครงการดังกล่าว ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลของกิจการทั้งหมด รวมถึงอยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูลการประเมินมูลค่ากิจการ โดยคาดว่าน่าจะศึกษาแล้วเสร็จภายในเดือนพ.ย.นี้
นายพุทธชาติ กล่าวว่า แหล่งเงินทุนที่จะนำมาใช้ในโครงการนี้ บริษัทฯ ได้ขอมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 625.908 ล้านบาทเป็น 1,648.224 ล้านบาท ด้วยการออกหุ้นสามัญจำนวน 10,223.165 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.10 บาท คิดเป็น 1,022.316 ล้านบาท โดยเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 3 หุ้นเดิมต่อ 2 หุ้นเพิ่มทุน ราคาหุ้นละ 0.12 บาท กำหนดจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนระหว่างวันที่ 29 พ.ย.-7 ธ.ค.2561 ซึ่งเบื้องต้นจะใช้เงินร่วมลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานขยะอุตสาหกรรมจำนวน 300-500 ล้านบาท
สำหรับจุดเด่นที่สุดและเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ TWZ มองเห็นโอกาสในการเข้าร่วมลงทุนในโครงการนี้ คือ ความพร้อมของโครงการ ซึ่งในตอนนี้ โครงการได้รับคัดเลือกจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานแล้ว และผ่านเกณฑ์กำหนดคุณสมบัติความพร้อม 5 ประการ ได้แก่ ความพร้อมทางที่ดิน โดยมีเอกสารสิทธิและสัญญาเช่าที่มีอายุไม่น้อยกว่าอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ความพร้อมด้านแหล่งเงินทุนโครงการ ความพร้อมด้านเทคโนโลยี ความพร้อมด้านใบอนุญาต และความพร้อมด้านเชื้อเพลิง โดยเฉพาะในประเด็นความพร้อมด้านเทคโนโลยีและความพร้อมด้านเชื้อเพลิง เป็นเรื่องที่ TWZ ให้ความสำคัญมากที่สุด
“จากการตรวจสอบเอกสารและข้อมูลเบื้องต้น เราพบว่ามีความเสี่ยงน้อยมากที่จะเกิดปัญหา โดยเฉพาะความพร้อมด้านเชื้อเพลิง ที่โครงการมีสัญญากับโครงการนิคมอุตสาหกรรม ไม่น้อยกว่า 3 ปีนับจากวันที่เริ่มต้นขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) อีกทั้งยังมีการสำรองเชื้อเพลิงสำหรับการผลิตไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 5 ปี อีกทั้งโครงการยังได้ลงนามแบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับการรับซื้อไฟฟ้าพิเศษจากขยะอุตสาหกรรมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเรียบร้อยแล้ว โดยมีระยะเวลาซื้อขายไฟ จำนวน 20 ปี ทั้งหมดนี้ทำให้เรามีความมั่นใจในการเข้าร่วมลงทุนกับโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานขยะอุตสาหกรรมว่า จะช่วยเสริมศักยภาพในการเติบโตอย่างมั่นคงให้กับ TWZ ได้ในระยะยาว” นายพุทธชาติ กล่าว
ทั้งนี้ TWZ มีความมั่นใจในการขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ที่มีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว หลังจากผลการดำเนินงานของบริษัทฯ เติบโตอย่างน่าพอใจ โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ TWZ มีกำไรสุทธิ 55.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 6.64 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้นถึง 48.44 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 729.52% ขณะที่ไตรมาสที่ 3 (กรกฎาคมถึงกันยายน) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 12.46 ล้านบาท พลิกจากผลขาดทุนสุทธิ 0.53 ล้านบาท
“การเติบโตในไตรมาสที่ 3 มาจากรายได้จากการขายและบริการที่เพิ่มขึ้นจาก 779.34 ล้านบาท เป็น 849.93 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 70.59 ล้านบาทคิดเป็น 9.06% ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตทางผลการดำเนินงานที่แท้จริง โดยเป็นผลส่วนหนึ่งมาจากการเข้าร่วมงาน Thailand Mobile Expo 2018 ซึ่งโทรศัพท์เคลื่อนที่และอุปกรณ์เสริมของ TWZ ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคอย่างคึกคัก ทำให้เรามั่นใจว่า โอกาสของการขยายตัวของธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมยังอยู่ในกระแสหลัก และ TWZ ในฐานะผู้ให้บริการที่อยู่ในตลาดมาอย่างยาวนาน มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญ รวมถึงมีพันธมิตรที่แข็งแกร่ง จะสามารถเติบโตตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมได้อย่างแน่นอน” นายพุทธชาติกล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจเดิม และต่อยอดไปในธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะทำให้ TWZ กลับมาเดินหน้าได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยมุ่งเน้นที่จะสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นและนักลงทุนที่ให้ความไว้วางใจกับบริษัทฯ มาโดยตลอด