โดย..สาธิต บวรสันติสุทธิ์, CFP นักวางแผนการเงิน
“ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย” อีกแล้ว กับการหลบหลีกภาษี ซึ่งหลายคนเขียนสับสนว่าเป็น “การวางแผนภาษี” จริงๆแล้ว “การวางแผนภาษี” กับ “การหลบหลีกภาษี” และ “การหนีภาษี” 3 คำนี้ มีเป้าหมายเดียวกัน คือ “เสียภาษีให้น้อยที่สุด” แต่วิธีการและผลลัพธ์ต่างกัน
• การวางแผนภาษี (Tax Planning) คือ การนำสิทธิประโยชน์ต่างๆ ทางภาษีที่กฎหมายกำหนดไว้ ไปใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปี เพื่อบรรเทาภาระภาษีให้น้อยลง โดยไม่ผิดกฎหมาย อย่างเช่น การซื้อประกันชีวิต ประกันบำนาญ RMF TESG ฯลฯ แล้วนำเงินที่ออมมาลดหย่อนภาษีตามเงื่อนไขของสรรพากร เป็นต้น
• การหลบหลีกภาษี (Tax Avoidance) คือ การใช้ช่องโหว่ของกฎหมาย ทำให้ไม่ต้องเสียภาษีหรือเสียภาษีน้อยลง แต่ไม่ได้ผิดกฎหมาย
• การหนีภาษี (Tax Evasion) คือ การหลบเลี่ยงไม่เสียภาษีหรือ เสียภาษีน้อยลง โดยฝ่าฝืนกฎหมาย
สรุปง่ายๆ ก็คือ ถ้าเป็นการวางแผนภาษี จะมั่นใจได้ว่า “ถูกกฎหมาย”100% การหนีภาษี “ผิดกฎหมาย” 100% ส่วนการหลบหลีกภาษี ยังไม่แน่ว่า “ถูกกฎหมาย” หรือ “ผิดกฎหมาย” เพราะมีเหตุต้องพิจารณาหลายเรื่อง
อย่างกรณี “การซื้อหุ้นด้วยตั๋ว PN” ที่เป็นประเด็นกันในตอนนี้ ก็เช่นกัน แม้พิจารณาตามตัวบทกฎหมายแล้วจะถูกกฎหมาย (อธิบดีสรรพากรออกมายืนยันเอง” แต่ผิดเจตนารมณ์ของกฎหมายหรือไม่ ยังต้องพิจารณาอีกมาก และจะเป็นนิติกรรมอำพรางหรือไม่ ก็ต้องรอดูกันต่อไป น่าจะมีใครนำกรณีนี้ฟ้องศาลเพื่อหาคำตอบสุดท้ายดูนะ เหมือนอย่างกรณีการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า “คดีซุกหุ้นภาค 2” ก็ได้คำตอบสุดท้ายของการหลบหลีกภาษีมา แต่ถ้าเป็นตอนนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ถ้าจะฟ้อง ใครมีสิทธิฟ้อง นึกๆดูแล้ว ผู้เสียหาย คือ สรรพากร แต่ถ้า สรรพากร ไม่ฟ้อง ใครจะฟ้องได้นะ
สรุปเรื่องนี้ไม่เพียงท่านนายกฯจะมีเดิมพันที่สูง สรรพากรเองก็มีเดิมพันที่สูงด้วยเช่นกัน หากการวางแผนภาษีด้วยตั๋ว PN สามารถทำได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ก็จะเป็นบรรทัดฐานสำหรับการวางแผนภาษีต่อไป ลองคิดดู ก็น่าจะทำได้หลายอย่าง เช่น
• การหลบภาษีการรับด้วยการเปลี่ยน “การให้” เป็น “ธุรกรรมซื้อขาย” แทน เมื่อไม่มีการให้ การรับ ผู้รับก็ไม่ต้องเสียภาษีการรับ
• การหลบหลีกภาษีการรับมรดก ด้วย “การทำธุรกรรมซื้อขาย” ทรัพย์สมบัติให้ลูกด้วยตั๋ว PN ก่อนตาย เพื่อให้ทรัพย์มรดกสุทธิเหลือต่ำกว่า 100 ล้านบาท ด้วยวิธีนี้ ลูกได้รับทรัพย์สมบัติพ่อโดยไม่ต้องควักเงินซักบาท แถมตอนพ่อเสียชีวิต ลูกที่เป็นผู้รับมรดกก็ไม่ต้องเสียภาษีการรับมรดก เพราะมรดกสุทธิต่ำกว่า 100 ล้านบาท หลายคนอาจแย้งว่า ตั๋ว PN ที่ลูกให้พ่อในตอนซื้อทรัพย์แทนเงินสด ก็เป็นทรัพย์มรดกที่ลูกต้องนำมารวมกับทรัพย์มรดกอื่นเพื่อเสียภาษีการรับมรดกเหมือนกัน ไม่น่าจะช่วยลดภาษีการรับมรดก เข้าใจถูกต้องครับ แต่ก็ยังมีวิธีการบริหารภาษีการรับมรดกอยู่ดี เพราะ ภาษีการรับมรดก จะเก็บต่อเมื่อครบ 3 องค์ประกอบ ประธาน กริยา และ กรรม คือ มี “ผู้รับมรดก” มี “การรับมรดก” และมี “มรดก” ถ้าไม่ครบทั้ง 3 องค์ประกอบ ก็ไม่มีการเสียภาษีการรับมรดก อย่างเช่น
- ๐ การวางแผนมรดกด้วยประกันชีวิต ไม่เสียภาษีการรับมรดก เพราะ ประกันชีวิต ไม่ใช่มรดก หรือ
-
- ๐ การทิ้งมรดกไว้ใน “กองมรดก” ก็ไม่เกิด “ผู้รับมรดก” และ “การรับมรดก” เพราะภาษีการรับมรดกที่ไทยใช้ จะเก็บจาก “ผู้รับมรดก” เท่านั้น ดังนั้น หากทายาทเลือกวิธีทิ้ง
“ตั๋ว PN”
-
- ไว้ในกองมรดก ก็ไม่ถือว่าทายาทได้รับ
“ตั๋ว PN”
- เป็นมรดก เมื่อทายาทไม่ได้รับ “ตั๋ว PN” เป็นมรดก ทายาทก็ไม่ต้องเสียภาษีการรับมรดกจาก “ตั๋ว PN”
• ซื้อทรัพย์มรดกจากกองมรดก ด้วย “ตั๋ว PN” แทนที่จะแบ่งมรดกกันให้เสียภาษีการรับมรดก ก็ใช้วิธีให้ทายาทออก “ตั๋ว PN” ไปแลกทรัพย์มรดกที่ตนเองได้รับจากกองมรดก อย่างนี้ก็เท่ากับว่า ทายาทได้ทรัพย์มรดกมาใช้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องภาษีการรับมรดกอีกต่อไป
• การรับจ้าง การทำธุรกรรมต่างๆ แทนที่จะชำระกันด้วยเงินสด อย่างเช่น ตัวแทนประกันชีวิตที่มีเงินได้จากค่าคอมมิชชั่น สมัยก่อนอาจใช้วิธีการวางแผนภาษีกระจายเงินได้ข้ามปีภาษีด้วยการขอให้บริษัทประกันจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้ในปีถัดไป ซึ่งกระจายได้แค่ปีต่อปี ต่อไปอาจเปลี่ยนเป็นบริษัทประกันจ่ายเป็นตั๋ว PN แทน จะช่วยกระจายเงินได้ออกได้หลายปีภาษี ทำให้ประหยัดภาษีได้มาก
ถ้านั่งคิดไปเรื่อยๆ น่าจะทำได้อีกหลายวิธี เผลอๆต่อไป “ตั๋ว PN” อาจเป็นตราสารหนึ่งที่ใช้กันแพร่หลายในไทยเหมือน Bitcoin ก็เป็นได้ ถือเป็น “นวัตกรรมทางการเงิน” ชิ้นโบว์แดงของไทยเลย
แต่อย่างไรก็ตาม ในฐานะนักวางแผนการเงิน CFP ก็ไม่แนะนำให้ทำการหลบหลีกภาษีด้วยวิธีใช้ “ตั๋ว PN” ครับ เพราะอาจก่อให้เกิดปัญหาในอนาคต ซึ่งผลเสียทางภาษีหนักและน่ากลัวมาก ไม่คุ้มเสี่ยงครับ