PTG ชูโมเดลธุรกิจ Max World หนุน Oil-Non Oil เติบโตยั่งยืน

HoonSmart.com>>”พีทีจี เอ็นเนอยี”(PTG) วางกลยุทธ์ปี’67 เดินหน้ายกระดับธุรกิจ Oil & Non-Oil ภายใต้ Max World  ขยายธุรกิจให้เข้าเป้าปี’70 มาร์เก็ตแชร์น้ำมันกว่า 25% ฐานสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus โตกว่า 30 ล้านสมาชิก ร้านกาแฟพันธุ์ไทยมุ่งเพิ่มสาขาเป็น 5,000 สาขา โชว์ปี 2566 แกร่งด้วยยอดขายน้ำมันโตถึง 12.1% เป็น 5,960 ล้านลิตร นับเป็นสถิติสูงสุด กวาดส่วนแบ่งตลาดน้ำมันผ่านสถานีบริการได้มากกว่า 20%

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG)  เปิดเผยในงาน “PTG Business Outlook 2024: Drive for Tomorrow, The Dynamism of Speed”  ว่าปี 2566 เป็นอีกหนึ่งปีที่ธุรกิจในเครือ PTG ยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ภาพรวมปริมาณการใช้น้ำมันของประเทศผ่านสถานีบริการเติบโตเล็กน้อยเพียง 2.2% แต่ของ PTGกลับเติบโตอย่างโดดเด่นถึง 13.3%  สูงกว่าถึง 6 เท่า และโตในทุกช่องทางที่ 12.1% เป็น 5,960 ล้านลิตร นับเป็นสถิติที่สูงที่สุดได้อีกครั้งนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ รวมถึงเป็นครั้งแรกของบริษัทฯ ที่สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันผ่านช่องทางสถานีบริการได้มากกว่า 20%

ส่วนธุรกิจ Non-Oil มีรายได้จากการขายและการให้บริการเติบโต 44.4% อยู่ที่ 13,688 ล้านบาท โดยเฉพาะธุรกิจก๊าซ LPG ที่สร้างสถิติสูงสุดอย่างต่อเนื่องที่จำนวน 634 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 27.7% และมีการขยายจุดบริการก๊าซ LPG ในครัวเรือนจำนวน 332 จุด ขณะที่ปริมาณการขายเติบโตถึง 48.0% ส่วนธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทย มีรายได้เพิ่มขึ้น 54.1% จากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ณ สิ้นปี 2566 มีทั้งหมด  882 สาขา เพิ่มขึ้น 371 สาขาจากสิ้นปีที่ผ่านมา สาขาเดิม (Same-Store-Sales)ก็เติบโตจากการกลับเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่องของกลุ่มลูกค้าผู้ถือบัตร PT Max Card และ PT Max Card Plus ซึ่งปี 2566 บริษัทฯ มีสาขาของธุรกิจ Non-Oil รวมทั้งสิ้น 2,087 สาขา เพิ่มขึ้น 561 สาขา หรือเติบโต 36.8% และมีสัดส่วนกำไรขั้นต้นจากธุรกิจ Non-Oil เป็นไปตามเป้าหมายที่ 21.2%

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้พัฒนาสินค้าและบริการต่าง ๆ อาทิ การพัฒนาแพลตฟอร์มโซลูชั่น Max Enterprise Connect สำหรับผู้ประกอบการและองค์กรโลจิสติส์ทุกขนาด ทำให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนการขนส่งให้มีประสิทธิภาพสูงสุด จึงทำให้บริษัทฯ ได้รับรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2566 จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA รวมถึงยังคงขับเคลื่อนธุรกิจสู่การพัฒนาที่ยังยืนอย่างต่อเนื่องทั้งมิติสิ่งแวดล้อม ที่มีการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานสะอาด อาทิ สถานีอัดประจุไฟฟ้า Elex by EGAT PT โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าจากขยะ หรือ มิติสังคม โดยดำเนินโครงการค่ายอาสา PT ทำจริงไม่ทิ้งกันมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการส่งเสริมวัตถุดิบท้องถิ่นจากชุมชน ที่ส่งผลให้บริษัทฯ ได้รับรางวัลระดับโลกอย่าง Best ESG Responsible Executive Team Thailand 2023 จากหน่วยงาน CFI.co (Capital Finance International) ของสหราชอาณาจักร

นอกจากนี้ บริษัทฯ ให้ความสำคัญในการดูแลพนักงาน ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนองค์กรส่งผลให้บริษัทฯ ได้รับรางวัล “องค์กรที่น่าทำงานด้วยมากที่สุดในเอเชีย” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 จากนิตยสาร HR Asia บริษัท Business Media International (BMI)

นายพิทักษ์ กล่าวอีกว่าภายในปี 2570 บริษัทฯ ตั้งเป้าครองส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันผ่านช่องทางสถานีบริการมากกว่า 25% ผ่าน 3 กลยุทธ์ ได้แก่ 1) Expansion & Renovation 2) Service Innovation 3) Data Optimization พร้อมตั้งเป้าฐานสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus ขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 30 ล้านสมาชิก ส่วนร้านกาแฟพันธุ์ไทยมุ่งขยายในรูปแบบของ “แฟรนไชส์” มากขึ้น ทั้งภายในและนอกสถานีบริการน้ำมันรวม 5,000 สาขาครอบคลุมทั่วประเทศ รวมถึงขยายออกสู่ตลาดต่างประเทศเช่น ลาว พร้อมพัฒนาและมุ่งหาธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศของ PTG ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค

นายสุขวสา ภูชัชวนิชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี และกรรมการผู้จัดการ บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย กล่าวว่า ปี 2567 ร้านกาแฟพันธุ์ไทย พร้อมเติบโตตามแผนกลยุทธ์ 3 ด้าน คือ 1. การใช้เดต้าหรือฐานข้อมูลจากบัตรสมาชิก Max Card และ Max Card Plus มาใช้ในการคัดเลือกพื้นที่ขยายสาขาร้านกาแฟพันธุ์ไทยทั้งภายในและนอกสถานีบริการน้ำมันให้แม่นยำ และเลือกโลเคชันของการเปิดสาขาให้ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น

2. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ นำเสนอสินค้าใหม่ที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์แตกต่างจากคู่แข่ง รวมทั้งขยายตลาดกลุ่มกาแฟพรีเมียมและกาแฟในบ้านให้มากยิ่งขึ้น และ 3. มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจ พร้อมยกระดับ Ecosystem สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการเชื่อมให้ทุกคนได้มี โอกาสเข้าถึงชีวิตที่ “อยู่ดี มีสุข” ส่งมอบคุณค่าสู่สังคม พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ขณะที่ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล หลังจากที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจากกระทรวงการคลัง นายปกเขตร รัชกิจประการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แมกซ์บิท ดิจิทัล แอสเซท   (Maxbit) กล่าวว่า  บริษัทได้รับใบอนุญาต จำนวน 2 ประเภท ได้แก่  นายหน้าซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี และ นายหน้าซื้อขายโทเคนดิจิทัล โดยได้เริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2566 ซึ่งบริษัทฯ เล็งเห็นโอกาสในธุรกิจด้านสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ที่ไม่ใช่ธุรกิจน้ำมัน (Non-Oil Business) และเชื่อมั่นว่า Maxbit จะสามารถนำจุดแข็งของบริษัทฯ ที่มีสมาชิก Max Card กว่า 21.5 ล้านสมาชิก รวมถึง Touchpoints กว่า 1.5 ล้าน Touchpoints ของ Max Me มาต่อยอดเป็นลูกค้าของ Maxbit โดยกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มลูกค้าในช่วงวัยทำงานและผู้ที่สนใจในด้านการลงทุน

แผนปี 2567 ตั้งเป้าหมายจะมีสมาชิกเทรดประมาณ 350,000 ราย ซึ่งด้วยวิสัยทัศน์ คือ การปฏิวัติอุตสาหกรรมบริการ cryptocurrency ในประเทศไทยจากความเข้าใจและสร้างสรรค์ร่วมกัน ทำให้มั่นใจปีนี้จะมีมาร์เก็ตแชร์โตเป็น 9-10% ก้าวสู่เบอร์ 2 ของกลุ่มตลาดนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย เชื่อมั่นว่า Maxbit จะเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่สามารถสร้างผลตอบแทนระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ

นายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ เพื่อเสริมระบบนิเวศทางธุรกิจของ PTG หรือ Max World ให้แข็งแกร่งมากขึ้น อาทิ ธุรกิจตัวกลางด้านการขนส่ง และโลจิสติกส์ในรูปแบบแพลตฟอร์มออนไลน์ ผ่าน บริษัท แมกซ์ เวนเจอร์ส  ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่เข้าร่วมลงทุนใน บริษัท ทรีซิกซ์ตี้ ซัพพลายเชน ผู้ให้บริการ “360TRUCK” ยอดขายสินค้าออนไลน์ (Gross Merchandise Volume: GMV) ปี 2566 สูงกว่า 1,100 ล้านบาท หรือธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสอง โดยซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท ไพศาล แคปปิตอล   จำนวน 825 ล้านบาท สัดส่วน 33.33% เพื่อสร้างการเติบโต สร้างโอกาสธุรกิจร่วมกัน และต่อยอดระบบนิเวศทางธุรกิจของบริษัทฯ

อีกทั้งบริษัทฯ ได้ร่วมมือกับทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ภายในสถานีบริการน้ำมัน PT ภายใต้ชื่อว่า Elex by EGAT PT ซึ่งปัจจุบันได้ติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าไปแล้ว จำนวน 49 สถานี และมีแผนจะติดตั้งเป็น 262 สถานีในปี 2567 และเป็น 712 สถานีในปี 2570 เพื่อให้ครอบคลุมตามพื้นที่สำคัญทั่วประเทศ เพราะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีจากความเสถียรของเครื่องชาร์จ EV และการใช้งาน อีกทั้งยังสามารถเข้ามาใช้บริการต่าง ๆ เช่นร้านกาแฟพันธุ์ไทย หรือร้านสะดวกซื้อ Max Mart ภายในปั๊ม PT ระหว่างรอชาร์จได้อีกด้วย

ส่วนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ที่ลงทุนผ่าน บริษัท พีทีจี กรีน เอ็นเนอยี (PTGGE) โดยซื้อขายไฟฟ้าในรูปแบบ Private PPA ปัจจุบันมีการติดตั้งบนพื้นที่ 37 สถานี ช่วยประหยัดพลังงานมากกว่า 1 ล้านหน่วยต่อปี ซึ่งลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าของกลุ่มสถานีดังกล่าวลงได้สูงถึง 15% ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ซึ่งปี 2567 PTGGE ตั้งงบลงทุนในอีก 5 ปีที่ 1,000 ล้านบาท เพื่อขยายพอร์ต Solar Rooftop รูปแบบ Private PPA อีก 28.67 MW บนพื้นที่มากกว่า 1,200 สถานี โดยมีเป้าหมายลดปริมาณการใช้ไฟฟ้ามากกว่า 33 ล้านหน่วยต่อปี คาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 13,420 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี หรือเทียบเท่าการปลูกป่า 2.9 ล้านต้น

ส่วนการพัฒนาอย่างยั่งยืนในมิติสิ่งแวดล้อม บริษัทฯ ร่วมลงนามเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ บริษัท ไทยไพบูลย์ อีควิปเม้นท์ สัดส่วน 10% คิดเป็นมูลค่าลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท และในอนาคต PTG จะมีสิทธิเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน เพื่อถือหุ้นในสัดส่วนสูงสุดไม่เกิน 33.33% คิดเป็นมูลค่าการลงทุนประมาณการตลอดโครงการทั้งสิ้น 400 ล้านบาท เพื่อขยายการลงทุนธุรกิจบริหารจัดการขยะและผลิตเชื้อเพลิงขยะ โดยไทยไพบูลย์มีจุดเด่นที่การผลิต RDF อยู่ที่ 1,500 ตัน/วัน มีสัญญากับหน่วยงานท้องถิ่น มากกว่า 20 สัญญา หรือมีขยะมูลฝอยมากกว่า 7 ล้านตัน คาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 5,000,000 ตันต่อปี เทียบเท่าการปลูกป่า 555 ล้านต้น

สำหรับภาพรวมธุรกิจในปี 2567 บริษัทฯ ประมาณการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันไว้ที่ 10-12% จากปัจจัยหนุนจากเศรษฐกิจไทยในภาพรวม โดยเฉพาะการขยายตัวจากการบริโภคภาคเอกชน รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง และปัจจัยภายในของบริษัทฯ เอง ที่มีการยกระดับการให้บริการ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น รวมถึงการเข้ามาใช้บริการซ้ำของลูกค้ากลุ่มผู้ถือบัตร PT Max Card และ Max Card Plus

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงวางเป้าการขยายสถานีบริการในปี 2567 ไว้ที่จำนวน 2,251 สถานีบริการ รวมถึงมีการปรับปรุงสถานีบริการให้มีความทันสมัย และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้สามารถเข้าถึงความ “อยู่ดี มีสุข” ภายใต้ระบบนิเวศของบริษัทฯ ได้อีกด้วย

ด้านธุรกิจ Non-Oil ยังคงวางเป้าเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 40-50% โดยวางเป้าหมายการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายก๊าซ LPG ในปีนี้ ไว้ที่ 30-40% ซึ่งการเติบโตมาจาก 1) กลุ่ม Auto LPG ด้วยการยกระดับประสบการณ์ให้แก่ลูกค้าด้วยงานบริการ ส่งเสริมยอดขาย และครองส่วนแบ่งการตลาด อันดับ 1 ด้วยโครงการ “Taxi Transform” และ “Auto Transform” รวมถึงการใช้กลยุทธ์ทำงานด้านการตลาดผ่านระบบสมาชิก บัตร PT Max Card เพื่อรักษาและขยายฐานลูกค้า 2) กลุ่มก๊าซครัวเรือนและอุตสาหกรรมด้วยการมุ่งรักษาฐานลูกค้าหลักเดิม และหาฐานลูกค้าใหม่ รวมถึงการนำเสนอโปรโมชั่นการขาย และการรับรู้แบรนด์ PT แก่ลูกค้าและ 3) เน้นการขยายจำนวนสถานีบริการ Auto LPG และ Gas Shop เป็น 788 สาขา จากเดิมที่มีอยู่ 573 สาขาในปี 2566

ส่วนธุรกิจร้านกาแฟพันธุ์ไทย บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ที่มีศักยภาพมากขึ้น อาทิ ย่านใจกลางเมือง ย่านธุรกิจที่มีกำลังซื้อสูง (CBD: Central Business District) หัวเมืองตามจังหวัดต่างๆ ศูนย์การค้าหรือห้างสรรพสินค้า สถานที่ราชการ โรงพยาบาล และมหาวิทยาลัย ซึ่งในปัจจุบันกาแฟพันธุ์ไทยมีสาขาจำนวนกว่า 900 สาขา โดยตั้งเป้าหมายขยายสาขาเพิ่มอีก 400 สาขาทั่วประเทศไทย เข้าสู่ระดับอำเภอที่มีศักยภาพ เพื่อให้ครอบคลุมทั่วประเทศไทยรวมจำนวนกว่า 1,300 สาขา ภายในปี 2567 นี้

ขณะที่ธุรกิจอื่น ๆ ภายใต้ Max World บริษัทฯ ยังคงวางแผนขยายสาขาและ Touchpoints อย่างต่อเนื่อง โดยวางเป้าจำนวนสาขาธุรกิจ Non-Oil อื่น ๆ เป็น 961 Touchpoints เพิ่มขึ้น 329 Touchpoints โดยมีการขยายจำนวนหลัก ๆ มาจากสถานีอัดประจุไฟฟ้า Elex by EGAT PT เพื่อรองรับการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ศูนย์บริการ และซ่อมบำรุงรถยนต์ Autobacs และสาขาร้านสะดวกซื้อ Max Mart เป็นต้น