GUNKUL ร่วง 6.58% คาดกำไรปกติ Q1 หด YoY กระแสลมต่ำลง

HoonSmart.com>>หุ้น GUNKUL ร่วง 6.58% คาดกำไรปกติไตรมาส 1/67 ลดลง YoY จากกระแสลมที่ต่ำกว่าไตรมาส 1 ปีที่แล้ว และค่าใช้จ่ายสูงขึ้นจากการลงทุน ส่วนระยะกลาง-ยาวจะทยอย COD ตั้งแต่ปี 69 จึงยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 3.66 บาท งดปันผลเพิ่ม “โศภชา”เผยปี 66 มีงานในมือ รวม 1,563 MW คาด 3 ปีข้างหน้า เพิ่มไม่น้อยกว่า 2,000 MW รายได้รวม 10,000 ล้านบาท คาดงบลงทุน 5 ปี มูลค่า 4.5 หมื่นล้านบาท

เมื่อเวลา 10.51 น.หุ้น GUNKUL ร่วง 6.85% มาที่ 2.72 บาท ลดลง 0.20 บาท มูลค่าซื้อขาย 139.37 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 2.80 บาท ขึ้นสูงสุด 2.84 บาท และต่ำสุด 2.66 บาท

บล.กรุงศรี พัฒนสิน ระบุ บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) มองเป็นกลางต่อกำไรปกติไตรมาส 4/2566 ที่ 284 ล้านบาท (+18%y-y, -28%q-q) ซึ่งหากคิดเป็นประมาณการรวมทั้งปี 2566 ต่ำกว่าที่ตลาดคาด 4% โดยเพิ่มขึ้น YoY จากรายได้ในกลุ่ม EPC & Trading ที่เติบโตขึ้น แต่ลดลง QoQ ตาม Seasonality ของโรงไฟฟ้าในญี่ปุ่นและเวียดนาม

เบื้องต้นไตรมาส 1/2567 คาดกำไรปกติลดลง YoY จากกระแสลมที่ต่ำกว่าไตรมาส 1/2566 และ SG&A ที่สูงขึ้นจากการเตรียมลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ได้รับคัดเลือกช่วงต้นปี 2566, แต่เพิ่มขึ้น QoQ จากงาน EPC ที่เข้ามาทดแทน หากคิดเป็นประมาณการรวมทั้งปี 2566 ในขณะที่ระยะกลาง-ยาวมีโรงไฟฟ้าใหม่ที่จะทยอย COD ตั้งแต่ปี 2569 (โซล่าร์ 652 MW, ลม 180 MW) จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 3.66 บาท แต่บริษัทแจ้งว่าจะงดจ่ายเงินปันผลรอบสิ้นปี 66 เพื่อนำเงินไปลงทุนในการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ใน Pipeline ของบริษัทฯ

บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่งเปิดผลงานปี 2566 มีกำไรสุทธิ 1,576.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.08% มีรายได้รวม 7,737.12 ล้านบาท และกำไรจากการดำเนินงานปกติ 1,576.18 ล้านบาท เติบโตจากทั้งพลังงานทดแทน และงานก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น

นางสาวโศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) กล่าวว่าในปี 2566 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการพลังงานทดแทนในประเทศ และได้รับคัดเลือกตามประกาศ กกพ. ว่าด้วยการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565 – 2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565 จำนวน 17 โครงการ รวม 832.4 เมกวัตต์ โดยบริษัทฯ ได้เซ็นสัญญาซื้อขายไฟแล้ว จำนวน 14 โครงการ รวม 621.4 เมกะวัตต์ ซึ่งต้องใช้เวลาในการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง และทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป

“บริษัทต้องใช้งบลงทุนด้านพลังงานทดแทนใน 5 ปี ด้วยมูลค่า 4.5 หมื่นล้าน ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท จึงเห็นชอบให้ดำรงเงินสดไว้ในกิจการ จึงงดจ่ายเงินปันผลเพิ่มเติมประจำปี 2566 เพื่อนำไปลงทุนในการพัฒนาโครงการด้านพลังงานทดแทนที่มีอยู่ รวมถึงเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องให้กับกิจการและผู้ถือหุ้นต่อไป”นางสาวโศภชากล่าว

อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2566 บริษัทได้จ่ายปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.06 บาท/หุ้น คิดเป็น 52.23%ของกำไรสุทธิครึ่งปี และ/หรือ คิดเป็น 45.75% สำหรับงวดสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งยังคงเป็นไปตามนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่กำหนดไว้ ไม่น้อยกว่า 40% ของงบการเงินเฉพาะกิจการ ทั้งนี้อัตราการจ่ายเงินปันผลเทียบกับราคาหุ้น (Dividend Yield) หลังหักสำรองใด ๆ มีอัตราที่ใกล้เคียงกับปีก่อน

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเตรียมความพร้อมด้านนวัตกรรมพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นการคิดค้นรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ และปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับภูมิทัศน์ทางธุรกิจ (Business Landscape) ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป และเน้นความร่วมมือกับพันธมิตรในการที่จะพัฒนาธุรกิจพลังงานทดแทนในหลากหลายรูปแบบ เช่น การพัฒนาแพลตฟอร์มซื้อขายอุปกรณ์ไฟฟ้าและการติดตั้งพลังงานทดแทนให้แก่ประชาชนที่สนใจอยากเข้าถึงการใช้พลังงานสะอาดได้ง่ายขึ้น ผ่านแพลตฟอร์มโกดังไฟฟ้าดอทคอม (www.godungfaifaa.com) และแพลตฟอร์มศูนย์รวมผู้รับเหมาโซลาร์ Volt (www.voltmarketplace.com) โดยแพลตฟอร์มดังกล่าวได้นำมาใช้งานในช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา และสร้างรายได้เพิ่มให้กับกลุ่มบริษัทอย่างต่อเนื่อง

อีกทั้งยังมีแพลตฟอร์มการซื้อขายพลังงานไฟฟ้า (Peer-to-Peer Energy Trading) เพื่อเป็นการรองรับการผลิตพลังงานหมุนเวียนและศึกษาความเป็นไปได้ในธุรกิจ New S-Curve เช่น ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่และเทคโนโลยีโรงไฟฟ้าเสมือน (Virtual Power Plant)รวมถึงแสวงหาโอกาสในการลงทุนด้านพลังงานทดแทน ในรูปแบบต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มเติม

ทั้งนี้ ในปี 2566 บริษัทมีโครงการอยู่ในมือแล้ว รวม 1,563 เมกะวัตต์ และบริษัทคาดว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า บริษัทจะสามารถมีจำนวนเมกะวัตต์สะสม เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 2,000 เมกะวัตต์ และมีรายได้รวม 10,000 ล้านบาท เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันในปี 2566 ที่ 7,737 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจำนวน 2,263 ล้านบาท

“จากความสำเร็จของบริษัทในปีที่ผ่านมา พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพและความแข็งแกร่งของบริษัท ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทมีการเจริญเติบโตที่ต่อเนื่องทั้งรายได้และกำไร โดยการดำเนินธุรกิจเน้นการสร้างคุณค่า ทางสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยยึดหลักธรรมาภิบาลที่ดี เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน ส่งผลให้บริษัทได้รับการประเมิน SET ESG Rating ในปี 2566 ที่ระดับ AA และได้รับผลประเมินการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย ประจำปี 2566 ระดับ 5 ดาว หรือ “ดีเลิศ” (Excellent CG Scoring) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 รวมถึง บริษัทได้รับรางวัลและการรับรองต่าง ๆ มากมาย เช่น การรับรองมาตรฐาน ISO 14064-1:2018 มาตรฐานการรายงานผลการปลดปล่อยและลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในระดับองค์กร ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งเป็นรางวัลที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจในการดำเนินธุรกิจและสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น ควบคู่กับการสร้างคุณค่าแก่สังคม”นางสาวโศภชากล่าว