HoonSmart.com>>ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก 32 จุด หลังทรัมป์ แสดงท่าทีว่าจะมีความยืดหยุ่นเกี่ยวกับแผนการจัดเก็บภาษีรอบใหม่ ด้านตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ลดลงเนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 21 มีนาคม 2568 ปิดที่ 41,985.35 จุด เพิ่มขึ้น 32.03 จุด หรือ +0.08% หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ แสดงท่าทีว่าจะมีความยืดหยุ่นเกี่ยวกับแผนการจัดเก็บภาษีรอบใหม่ที่คาดว่าจะบังคับใช้ในช่วงต้นเดือนหน้า
ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 5,667.56 จุด เพิ่มขึ้น 4.67 จุด, +0.08%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,784.05 จุด เพิ่มขึ้น 92.43 จุด, +0.52%
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 1.2% ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 0.5% และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 0.17%
การซื้อขายผันผวน โดยดัชนีหลักๆ ฟื้นจากจุดต่ำสุด หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่าจะมีความยืดหยุ่นในเรื่องภาษีศุลกากร อย่างไรก็ตามยืนยันว่าภาษีศุลกากรที่นำมาใช้ในวันที่ 2 เมษายนจะเป็นแบบเก็บในอัตราที่เท่ากัน (reciprocal tariff)โดยกล่าวว่าทุกประเทศที่เก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้าของสหรัฐฯ จะถูกเรียกเก็บ
แม้ทั้งสามดัชนีหุ้นหลักจะฟื้นตัว แต่การเพิ่มขึ้นถูกจำกัดจากการปรับลงของกลุ่มอุตสาหกรรมที่อ่อนไหวต่อเศรษฐกิจ เช่น ชิป วัสดุ และหุ้นขนาดเล็ก
นักลงทุนยังคงระมัดระวังด้วยความกังวลต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ขณะที่รอคำชี้แจงเกี่ยวกับรายละเอียดภาษี reciprocal tariff ของทรัมป์ที่คาดว่าจะมีผลในวันที่ 2 เมษายน
ความสนใจยังอยู่ที่ผลการประชุมนโยบายของธนาคารกลางประทศหลักตลอดทั้งสัปดาห์ โดยธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ธนาคารกลางญี่ปุ่น และธนาคารกลางอังกฤษ ต่างคงอัตราดอกเบี้ยไว้ อีกทั้งมีท่าทีแบบ “รอดู” ต่อภาษีศุลกากรและนโยบายการค้าของทรัมป์ ซึ่งทำให้ความไม่แน่นอนเพิ่มสูง
เมื่อวานนี้ออสตัน กูลส์บี ประธานเฟดสาขาชิคาโก และจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก กล่าวว่ายังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจจากมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์ และเฟดยังมีเวลาที่จะกำหนดทิศทางของนโยบายการเงิน
การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลต่อฉนวนกาซาและการระเบิดครั้งใหญ่จากการโจมตีด้วยโดรนของยูเครนต่อสนามบินทหารรัสเซีย ยังบั่นทอนความต้องการความเสี่ยง และหันไปหาสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น
เทอร์รี แซนด์เวน หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นของ U.S. Bank Wealth Management กล่าวว่า ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนมีมากขึ้น และเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความไม่แน่นอน ความตึงเครียดทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น มูลค่าหุ้นสูงขึ้น และมีการประเมินการคาดการณ์แนวโน้มของบริษัท
หุ้น FedEx และ Nike ซึ่งเป็นผู้นำในภาคอุตสาหกรรมร่วงลงอย่างหนักในวันศุกร์ โดย FedEx ร่วง 6.5% ส่วน Nike ร่วงกว่า 5% เนื่องจากนักลงทุนวิตกต่อความเห็นของทั้งสองบริษัทเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ โดย FedEx ได้ปรับลดคาดการณ์ปี 2025 จาก ความอ่อนแอและความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ขณะที่ Nike ระบุว่ายอดขายในไตรมาสนี้จะต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ เนื่องจากภาษีศุลกากรและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง
นอกจากนี้ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการหมดอายุของ stock options , index futures, index options และ single-stock futures พร้อมกันหรือที่เรียกว่า “quadruple witching” โกลด์แมนประมาณการว่าออปชั่นมูลค่กว่า 4.7 ล้านล้านดอลลาร์จะหมดอายุลง
ในสัปดาห์หน้าข้อมูลเศรษฐกิจที่จะเผยแพร่ได้แก่ข้อมูลที่อยู่อาศัยและภาคอุตสาหกรรม ในวันพฤหัสบดี กระทรวงพาณิชย์จะรายงานตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 4 เป็นครั้งที่ 3 และครั้งสุดท้าย ส่วนรายงานการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล(Personal Consumption Expenditures )จะมีกำหนดในวันศุกร์
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ลดลงเนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก อันเป็นผลจากสถานการณ์ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายภาษีศุลกากรของประธานาธิดีโดนัลด์ ทรัมป์
ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ 549.67 จุด ลดลง 3.31 จุด, -0.60%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,646.79 จุด ลดลง55.20 จุด, -0.63%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,042.95 จุด ลดลง 51.25 จุด, -0.63%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 22,891.68 จุด ลดลง 107.47 จุด, -0.47%
หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวเผชิญกับแรงขายหลังจากเกิดเหตุไฟฟ้าดับครั้งใหญ่อันเนื่องมาจากเหตุไฟไหม้บริเวณใกล้เคียง ทำให้สนามบินฮีทโธรว์ของอังกฤษต้องปิดทำการ หุ้นของ Lufthansa ลดลง 1.7% หุ้น IAG ลดลง 1.9% และหุ้น Air France KLM ร่วงลง 2.7%
หุ้น Douglas AG ซึ่งเป็นผู้ค้าปลีกน้ำหอมและเครื่องสำอาง ร่วงลง 22.5% หลังจากปรับลดประมาณการสำหรับปีบัญชี 2024/25 เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง
กลุ่มเหมืองแร่ทรัพยากรพื้นฐานเป็นกลุ่มที่ปรับตัวลดลงมากที่สุด โดยลดลง 2.6% เนื่อง จากราคาทองแดงลดลงจากระดับสูงสุดในรอบหลายเดือน ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมลดลง 1.5%
ดัชนี STOXX 600 ปิดเพิ่มขึ้น 0.5% ในสัปดาห์นี้ หลังจากทั้งสองสภาของรัฐสภาเยอรมนีผ่านร่างปฏิรูปเพื่อเพิ่มการกู้ยืมของรัฐบาลอย่างมหาศาลและจัดตั้งกองทุน 500,000 ล้านยูโร (542,000 ล้านดอลลาร์) เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตที่อ่อนแอ อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนของการค้าโลก และความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ทำให้นักลงทุนลดความเสี่ยงลง
ธนาคารกลางประเทศหลักๆ ได้แสดงความกังวลต่อแนวโน้มการเติบโตที่ไม่แน่นอน จากผลกระทบของนโยบายการค้าที่กลับไปกลับมาของทรัมป์ และความตึงเครียดทางการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยธนาคารกลางสหรัฐและธนาคารแห่งอังกฤษได้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ในการประชุมสัปดาห์นี้
ตลาด คาดว่าภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน
Fuchs ซัพพลายเออร์น้ำมันหล่อลื่นในเยอรมนี ลดลง 7.2% โดยนักวิเคราะห์ชี้ไปที่การคาดการณ์ EBIT ปี 2025 ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้เล็กน้อย
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้น 21 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 68.28 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้น 16 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 72.16 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล