WHAUP ปี’67 พอร์ตไฟ 1,000 เมกะวัตต์ ปันผลอีก 0.1925 บาทต่อหุ้น

HoonSmart.com>>ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ ตั้งเป้าปี’67 พอร์ตผลิตไฟฟ้าแตะ 1,000 เมกะวัตต์ แผน 5 ปีลงทุนใหม่ 21,200 ล้านบาท รายได้ดำเนินงาน 30,000 ล้านบาท EBITDA margin ไม่น้อยกว่า 50% ด้านปี’66 โชว์กำไร 1,587 ล้านบาท เพิ่ม 254% (YoY) ปันผลอีก 0.1925 บาทต่อหุ้น

นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) เปิดเผยว่า จากแผนการขับเคลื่อนธุรกิจทั้งทางด้านธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) และธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ส่งผลให้ บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติรวม 5 ปี (2567-2571) ที่ 30,000 ล้านบาท และยังคงรักษาอัตรากำไร EBITDA margin ที่ระดับไม่น้อยกว่า 50% พร้อมทั้งตั้งงบลงทุนภายใน 5 ปี ข้างหน้าไว้ที่ 21,200 ล้านบาท

สำหรับในปี 2567 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดการจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำรวมที่ 178 ล้านลูกบาศก์เมตร แบ่งเป็นภายในประเทศ 142 ล้านลูกบาศก์เมตร และในประเทศเวียดนาม 36 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อรองรับการขยายการให้บริการน้ำทุกประเภทในโครงการใหม่ๆ ทั้งภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจการลงทุนในธุรกิจน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อต่อยอดการเติบโตและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจ โดยมุ่งเน้นการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆมาปรับใช้ เช่น การพัฒนา Smart Water Platform ด้วยการนำ Artificial Intelligence (AI) เข้ามาประยุกต์ใช้ และยังมองหาโอกาสขยายธุรกิจใหม่ๆ อาทิเช่น โซลูชันด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

ธุรกิจน้ำในประเทศเวียดนาม บริษัทฯ มียอดจำหน่ายน้ำรวมตามสัดส่วนการถือหุ้นเท่ากับ 34 ล้านลูกบาศก์เมตร ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 18% โดยปัจจัยหลักมาจากปริมาณยอดจำหน่ายน้ำของโครงการ Duong River ที่เพิ่มขึ้นตามการขยายพื้นที่การให้บริการ และปริมาณความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นจากทั้งกลุ่มลูกค้าเดิม และกลุ่มลูกค้าใหม่ ส่งผลให้บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากโครงการ Duong River ในปี 2566 ลดลงเหลือเพียง 8 ล้านบาท และคาดว่าจะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรได้ในปี 2567 นี้

ส่วนแผนกลยุทธ์ด้านธุรกิจพลังงานไฟฟ้าในปี 2567 บริษัทฯ พร้อมเปิดโอกาสในด้านการลงทุนผ่านนวัตกรรมใหม่ๆ สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการต่อยอดธุรกิจพลังงานไฟฟ้าทั้งภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า แพลตฟอร์มการซื้อขายพลังงานไฟฟ้า (Peer-to-Peer Energy Trading) และการซื้อขายใบรับรองเครดิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (I-REC) รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในธุรกิจ New S-Curve เช่น ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System: BESS) รวมถึงหาโปรเจกต์การลงทุนใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้า

“นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้สิทธิ์เป็นผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) เฟส 1 จำนวน 5 โครงการ โดยมีกำลังผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้น 125 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้ทั้งหมดภายในช่วงไตรมาส 1 ถึง ไตรมาส 2 นี้ จากแผนการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมในปีนี้ ส่งผลให้บริษัทฯ ตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมที่ลงนามสัญญาแล้วจากโรงไฟฟ้าทุกประเภทเป็น 1,000 เมกะวัตต์ คิดเป็นอัตราการเติบโตกว่า 17% จากปีก่อน ซึ่งประกอบด้วยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ”นายสมเกียรติ กล่าว

นายสมเกียรติ กล่าวถึง ผลการดำเนินงานงวดปี 2566 บริษัทฯ รับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติ จำนวน 4,228 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52% และมีกำไรปกติ (Normalized Net Profit) จำนวน 1,587 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 254% ในขณะที่มีกำไรสุทธิซึ่งรวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 1,631 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 259% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยการเพิ่มขึ้นของกำไรปกติมีปัจจัยหลักมาจากส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากในส่วนของธุรกิจไฟฟ้า SPP ที่ค่า Ft ได้ปรับขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุนก๊าซธรรมชาติ และโรงไฟฟ้าถ่านหิน Gheco-One ที่รับรู้ค่าความพร้อมจ่ายเพิ่มขึ้น และจะมีการจ่ายปันผลเพิ่มเติมอีกในอัตรา 0.1925 บาทต่อหุ้น โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 25 เมษายน 2567 และกำหนดการจ่ายเงินปันผล ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 รวมเป็นเงินปันผลประจำปี 2566 รวม 0.2525 บาทต่อหุ้น