BDMS กำไร 1.4 หมื่นลบ.เกินคาด BH ผิดหวังQ4 ถูกหั่นเป้าปีนี้-หุ้น

HoonSmart.com>> 2 โรงพยาบาลใหญ่กำไรปี 66 โต “กรุงเทพดุสิตเวชการ”(BH) โกย 14,375 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14 % ได้ผู้ป่วยต่างชาติหนุน เร่งสร้างกำไรไตรมาส 4 สวยเข้าตานักลงทุนแห่ไล่ซื้อหุ้น คาดโตต่อเนื่องปีนี้ ส่วน “โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ “(BH) ทั้งปีกำไรสุทธิ 7,006 ล้านบาท พุ่งขึ้น 41.9% แต่ผิดหวังปลายปีชะลอตัวลงจากไตรมาส 3 กระทบเป้าปี 67 บล.ดาโอหั่น 6% เป็น 7,316 ล้านบาท กดราคาลงเหลือ 298 บาท

วันที่ 22 ก.พ.2567 นักลงทุนนัดกันซื้อหุ้น BDMS ไล่ราคาปิดที่จุดสูงสุดของวันที่ 30 บาท บวก 1.50 บาทหรือ+5.26% มูลค่าซื้อขายสูงถึง 3,507.64 ล้านบาท สวนทางหุ้น BH ถูกขายอย่างรุนแรง กดราคาร่วงต่ำสุดที่ 232 บาทก่อนฟื้นขึ้นมาปิดที่ 238 บาท ติดลบ 4 บาทหรือ-1.65% แม้ว่าทั้งปีมีกำไรสุทธิ 7,006 ล้านบาท พุ่งขึ้น 41.9% ก็ตาม

บล.ทิสโก้มอง BDMS รายงานกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 4/2566 จำนวน 3.95 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% เทียบกับปีก่อน (YoY) และ 2% เทียบไตรมาสก่อน (QoQ) ซึ่งสูงกว่าประมาณการของเราและ BBG consensus ที่ 7% และ 8% ตามลำดับ รายได้โรงพยาบาลอยู่ที่ 2.53 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% YoY และค่อนข้างคงที่ QoQ ส่วนเบี่ยงเบนสำคัญคือ อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าที่คาดไว้ และแม้จะเป็นช่วงที่อ่อนแอตามฤดูกาล แต่กลับมีการเติบโตที่ดีในผู้ป่วยต่างชาติ ณ โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ และแหล่งท่องเที่ยว  ในขณะที่ผู้ประกอบการในโรงพยาบาลรายใหญ่หลายรายก้าวขึ้นมา เพื่อตอบรับความต้องการจากต่างประเทศ การเติบโตของรายได้ต่างชาติของ BDMS ยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งยืนยันถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์  จึงยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อ BDMS สำหรับแนวโน้มของผู้ป่วยชาวไทยและชาวต่างชาติในปี  2567

BDMS มีรายได้ผู้ป่วยต่างประเทศโต 18% YoY ได้รับแรงหนุนจากผู้ป่วยที่บินเข้า โดยเฉพาะจากกาตาร์ (92% YoY) จีน (36% YoY) และฝรั่งเศส (36% YoY) ส่งผลให้สัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 28% จาก 27% ในไตรมาส4/2565  และ 26% ในไตรมาส 3/2566  ส่วนรายได้ผู้ป่วยไทยเติบโต 10% YoY แต่ลดลง 3% QoQ จากจำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่ลดลง แต่ลดลงน้อยกว่าปกติเนื่องจากไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลที่ยืดเยื้อ ในเดือนต.ค.ที่ผ่านมา

สำหรับกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 38.7% เพิ่มขึ้นจาก 38.1% และ QoQ จาก 38.3% จากการเข้ามาของผู้ป่วยต่างประเทศมากขึ้น และมีประสิทธิภาพสูงขึ้น  EBITDA Margin อยู่ที่ 24.9% เพิ่มขึ้นจาก 23.7% ในไตรมาส 4/2565 และ 24.7% ในไตรมาส 3/2566

“แนวโน้มในไตรมาสแรกปีนี้ คาดว่ากำไรจะลดลงทั้ง QoQ เนื่องจากไม่มีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลและ YoY จากช่วงรอมฎอนที่ยาวนานกว่าเทียบกับไตรมาสแรกปี 2566 คงคำแนะนำ “ซื้อ”  มูลค่าที่เหมาะสมอยู่ที่ 37  บาท”

ด้านบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ ประกาศจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งหลังปี 2566 อีกหุ้นละ 0.35 บาทจากทั้งปี 0.70 บาท  โดยคาดว่าในปี 2567 ธุรกิจการให้บริการทางการแพทย์จะมีการเติบโตต่อเนื่อง จากสังคมผู้สูงอายุ รายได้ประชากรต่อหัวที่สูงขึ้นโดยเฉพาะในต่างจังหวัด การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันเนื่องจากคนใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้นเพื่ออายุที่ยืนยาวและคุณ ภาพชีวิตที่ดี รวมถึงการขยายตัวของ DigitalHealthcare และประกันสุขภาพในประเทศไทย

นอกจากนี้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ(Medical Tourism) ของโลก จากคุณภาพการรักษาพยาบาลที่ดี
การมีโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานระดับสากล การบริการที่เป็นเลิศและความคุ้มค่าของราคาค่ารักษาพยาบาล ทำให้นักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพสนใจมาใช้บริการทางการแพทย์ในประเทศไทยมากขึ้น

ส่วน BH บล.ดาโอ(ประเทศไทย) คงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับราคาเป้าหมายปี 2567 ลงเป็น 285 บาท จากเดิม 300 บาท อิง P/E ปีนี้ที่ 31 เท่า จากการปรับกำไรปีนี้ลง-6% เป็น 7,316 ล้านบาท (+5% YoY) จากไตรมาส 4 ออกมาต่ำกว่าคาด -14%  อยู่ที่ 1,721 ล้านบาท (+11% YoY, -12% QoQ) โดยรายได้รวมอยู่ที 6,497 ล้านบาท (+9% YoY, -3% QOQ) โดยมีสัดส่วนต่างชาติอยู่ที่ 68% ทำให้รายได้
ต่างชาติอยู่ที่ 4,418 ล้านบาท (+12% YoY, -2% QoQ) และรายได้คนไข้ไทยอยู่ที่ 2,079 ล้านบาท (+3% YoY, -2% QoQ)

แนวโน้มปี 2567 จะสามารถโตต่อ แม้มีการเติบโตเล็กน้อยจากฐานที่สูงในปี 2566  โดย BH จะเพิ่มกำลังผลิตจากเปิดตึก Annex  ขยายการรับรองคนไข้ได้เพิ่มขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองที่BH จะเติบโต และมองว่า pent-up demand ของคนไข้ทั้งในไทยและต่างประเทศยังอยู่ใน
ระดับสูง ทั้งนี้มองว่าสงครามที่ตะวันออกกลางมีผลกระทบจำกัดต่อ BH โดยปัจจุบันคนไข้ตะวันออก
กลางยังคงเดินทางมารักษาที่ BH ต่อเนื่อง

“ราคาหุ้น outperform SET +11% ในช่วง 3เดือนที่ผ่านมา จากราคาลงไปค่อนข้างเยอะ ปัจจุบัน BH เทรดอยู่ที่P/E ปีนี้  26.3 เท่า (เทียบเท่า -1.0SD below 5-yr avg PER) โดยราคาหุ้น BH เคยสูงสุดที่ 250 บาท ในปี 2015 ซึ่งมีกำไรสุทธิเพียง 3,436 ล้านบาท และปี 2019 (ก่อน COVID) กำไรอยู่ที่ 3,794 ล้านบาทเท่านั้น เราคาดว่ากำไรจะเติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งยังมี upside จากจำนวนคนไข้
ต่างชาติที่มากกว่าคาด โดยเฉพาะซาอุดิอาระเบีย และด้าน valuation ค่อนข้างถูก ซึ่งค่าเฉลี่ยกลุ่มเทรดที่ 28 เท่า  นอกจากนี้โรงพยาบาลที่ภูเก็ตคาดจะเปิดในช่วงครึ่งหลังปี 2568  ซึ่งจะขยายฐานลูกค้าและการเติบโต  แต่อาจกดดันต่อกำไรในปีหน้า  จากการยังไม่คืนทุน และค่าใช้จ่ายบุคลากรที่เพิ่มขึ้นในสาขาใหม่”บล.ดาโอระบุ

บล.คิงส์ฟอร์ดมองกำไรไตรมาส 4/2566 ที่ 1,721 ล้านบาท +11.32% YoY, -11.95% QoQ ใกล้ตลาดคาด แต่ต่ำกว่าที่เราคาด 5.9%หลักๆมาจากค่าใช้จ่ายในส่วนของ SG&A ที่สูงขึ้น  โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายพนักงาน ภาพรวมปี2566 โตโดดเด่น กำไรสุทธิ +41.9%  แรงหนุนหลักจากการฟื้นตัวของผู้ป่วยต่างชาติ(มีสัดส่วนรายได้ผู้ป่วยต่างชาติมา Precovid-19 เฉลี่ยที่ราว 65%)ขณะที่ปี 2567 คาดยังโต แม้โมเมนตัมอ่อนตัวลงบ้าง แนะนำ“ซื้อสะสม” ยังคาดหวังต่อการเปิดบริการโรงพยาบาลใหม่ในปี 2568 ประกาศจ่ายปันผลที่ 3.15 บาท/หุ้น จะขึ้น XD วันที่ 13 มี.ค. 2567 คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 1.30% เทียบราคาปิดที่ 242 บาท