ข่าวดี EA บอร์ดอีวีดันไทยศูนย์กลาง ‘อีวี’ เคาะภาษีหนุนใช้ E-Bus E-Truck ผลิตแบตเตอรี่

HoonSmart.com>> กลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ (EA) รอข่าวดีมานาน บอร์ดอีวีเคาะมาตรการภาษีหนุนนิติบุคคลใช้รถบัส-รถบรรทุกอีวี หักค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่าสำหรับรถผลิต-ประกอบในประเทศ ส่วนนำเข้าสำเร็จรูปหัก 1.5 เท่า มีผลยาวถึงปี68 คาดเร่งเปลี่ยนรถยนต์เชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ไม่ต่ำกว่า 10,000 คัน พร้อมดึงเงินลงทุนสร้างฐานแบตเตอรี่ ดันไทยเป็นศูนย์กลางอีวีอาเซียน

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ครั้งที่ 1/2567  เมื่อวันที่ 21 ก.พ.2567  โดยนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงผลการประชุมสรุปว่าเห็นชอบการปรับปรุงมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ทั้งรถโดยสารไฟฟ้า (E-Bus) และรถบรรทุกไฟฟ้า (E-Truck) เพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจในการลดการปล่อยคาร์บอน ช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน รวมถึงช่วยสร้างฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในประเทศ

“มาตรการนี้จะอนุญาตให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถหักค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับการซื้อรถโดยสารไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้ามาใช้งาน โดยไม่กำหนดเพดานราคาขั้นสูง ในกรณีซื้อรถที่ผลิต/ประกอบในประเทศ สามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่า และในกรณีนำเข้ารถสำเร็จรูปจากต่างประเทศ สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 1.5 เท่า โดยจะมีผลใช้บังคับจนถึงสิ้นปี 2568  เป็นการต่อยอดจากมาตรการ EV3 และ EV3.5 เน้นกลุ่มรถยนต์นั่ง รถจักรยานยนต์ และรถกระบะเป็นหลัก อีกทั้งคาดว่ามาตรการดังกล่าว จะช่วยเร่งให้เกิดการปรับเปลี่ยนรถยนต์เชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าได้ไม่ต่ำกว่า 10,000 คัน ช่วยลดการปล่อยมลภาวะในภาคการขนส่ง และตอกย้ำการเป็นศูนย์กลางอีวีของภูมิภาคในรถยนต์ทุกประเภท”

นอกจากนี้ที่ประชุมได้เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) เพื่อดึงดูดให้ผู้ผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ ซึ่งเป็นการผลิตต้นน้ำที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยผู้ลงทุนจะสามารถขอรับสิทธิประโยชน์และเงินสนับสนุนจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศฯ ภายใต้บีโอไอ โดยมีเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับผู้ลงทุน ดังนี้ (1) ต้องเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ชั้นนำที่มีการใช้งานโดยผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (2) ต้องมีแผนการผลิตเซลล์แบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า โดยสามารถผลิตเซลล์แบตเตอรี่สำหรับระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) ด้วยได้ (3) ต้องผลิตเซลล์แบตเตอรี่ที่มีค่าพลังงานจำเพาะ ไม่น้อยกว่า 150 Wh/Kg และ (4) ต้องมีจำนวนรอบการอัดประจุ (Life Cycle) ไม่น้อยกว่า 1,000 รอบ โดยกำหนดเวลายื่นข้อเสนอโครงการลงทุนภายในปี 2570 ส่วนเรื่องการบริหารจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้วในประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีมาตรฐานความปลอดภัย และเกิดประโยชน์สุงสุดต่อเศรษฐกิจ ดังนั้น ที่ประชุมมอบหมายให้คณะอนุกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน ไปศึกษาแนวทางการบริหารจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้วแบบครบวงจร เพื่อกำหนดมาตรการที่เหมาะสมต่อไป

ทั้งนี้ ที่ประชุมบอร์ดอีวี ยังได้เห็นชอบให้ปรับปรุงมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าระยะที่ 2 หรือ EV 3.5 เช่น ขยายขอบเขตของรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับสิทธิให้ครอบคลุมรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน และเพิ่มคุณสมบัติของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า กรณีที่มีขนาดแบตเตอรี่ต่ำกว่า 3 kWh แต่มีระยะทางวิ่งมากกว่า 75 กิโลเมตรต่อรอบการชาร์จ รวมทั้งมีมาตรฐานความปลอดภัย สามารถเข้าร่วมมาตรการ EV3.5 ได้ เพื่อตอบโจทย์ผู้ประกอบการมากขึ้น

ที่ผ่านมา มาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐสามารถกระตุ้นตลาดอีวีในประเทศให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด เห็นได้จากยอดจดทะเบียนรถยนต์อีวีที่สูงถึงกว่า 76,000 คันในปี 2566 เพิ่มขึ้น 6.5 เท่าจากปีก่อน นำมาสู่การลงทุนในอุตสาหกรรมอีวีแบบครบวงจร โดยข้อมูล ณ สิ้นปี 2566 บีโอไอได้ให้การส่งเสริมอุตสาหกรรมอีวี จำนวน 103 โครงการ เงินลงทุนรวม 77,192 ล้านบาท แบ่งเป็น รถยนต์อีวี 18 โครงการ 40,004 ล้านบาท รถจักรยานยนต์อีวี 9 โครงการ 848 ล้านบาท รถบัสอีวีและรถบรรทุกอีวี 3 โครงการ 2,200 ล้านบาท แบตเตอรี่สำหรับรถอีวีและ ESS 39 โครงการ 23,904 ล้านบาท ชิ้นส่วนสำคัญ 20 โครงการ 6,031 ล้านบาท และสถานีอัดประจุไฟฟ้า 14 โครงการ 4,205 ล้านบาท

“นายกรัฐมนตรีย้ำให้ความสำคัญและสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าให้เป็นศูนย์กลางอีวีอาเซียนที่ต้องขับเคลื่อนรถยนต์ EV ของทุกประเภท ให้คนไทยหันมาใช้รถไฟฟ้า เพื่อช่วยลด PM 2.5 และช่วยลดการปล่อยมลภาวะในภาคการขนส่งมากขึ้น” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

นายนฤตม์ กล่าวว่า ที่ผ่านมามาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐ สามารถกระตุ้นตลาดอีวีในประเทศให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด เห็นได้จากยอดจดทะเบียนรถยนต์อีวีที่สูงถึงกว่า 76,000 ตันในปี 2566 เพิ่มขึ้น 6.5 เท่าจากปีก่อนหน้า นำมาสู่การลงทุนในอุตสาหกรรมอีวีแบบครบวงจร

โดยข้อมูล ณ สิ้นปี 2566 บีโอไอได้ให้การส่งเสริมอุตสาหกรรมอีวี จำนวน 103 โครงการ เงินลงทุนรวม 77,192 ล้านบาท แบ่งเป็น รถยนต์อีวี 18 โครงการ เงินลงทุน 40,004 ล้านบาท รถจักรยานยนต์อีวี 9 โครงการ เงินลงทุน 848 ล้านบาท รถบัสอีวีและรถบรรทุกอีวี 3 โครงการ เงินลงทุน 2,200 ล้านบาท แบตเตอรี่สำหรับรถอีวี และ ESS จำนวน 39 โครงการ เงินลงทุน 23,904 ล้านบาท ชิ้นส่วนสำคัญ 20 โครงการ เงินลงทุน 6,031 ล้านบาท และสถานีอัดประจุไฟฟ้า 14 โครงการ เงินลงทุน 4,205 ล้านบาท

สำหรับกลุ่มบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ (EA) เป็นผู้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยี มาพัฒนาพลังงานสะอาด ทั้งด้านพลังงานทดเเทน พลังงานหมุนเวียน ด้านแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้า อาทิ รถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์, เรือไฟฟ้า, สถานีชาร์จรถไฟฟ้า, แบตเตอร์รี่ Li-ion ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยฝีมือคนไทย สร้างมูลค่าเพิ่มทางด้านสังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน  ส่วนบริษัทในกลุ่ม คือ บริษัท เน็กซ์ พอยท์ (NEX) เป็นผู้ขายรถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์รายใหญ่ของประเทศ และบริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ (BYD) เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท Thai smile  เดินรถเมล์ไฟฟ้า   โดยรอการสนับสนุนจากรัฐบาลมาตั้งแต่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา