CKP  กวาดรายได้ 10,941 ล้านบ. ปี67 ลั่นโตต่อ รุกไฟฟ้าสะอาด

HoonSmart.com>>”ซีเค พาวเวอร์”(CKP) คาดปี 67 ผลการดำเนินงานโตต่อเนื่องจากปัจจัยฤดูกาล วางเป้าเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ตอกย้ำแผนงาน CKP NET ZERO EMISSIONS 2050  บล.หยวนต้าเพิ่มเป้ากำไรปี 67 ขึ้นเป็น  1,385 ล้านบาท ราคาหุ้น 4.40 บาท 

นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ (CKP) หนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคและมีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่ำที่สุดรายหนึ่ง เปิดเผยว่าในปี 2566  CKP มีรายได้รวม 10,941 ล้านบาท แม้ว่าจะต้องเผชิญกับปรากฎการณ์เอลนีโญ (El Niño) แต่ปริมาณน้ำมีการปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางไตรมาสที่ 3/2566 โดยบริษัทได้ปรับแผนการผลิตไฟฟ้าให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้มีปริมาณน้ำคงเหลือในอ่างเก็บน้ำของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำงึม 2 สูงถึง 367 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง ซึ่งเป็นระดับน้ำคงเหลือในอ่างเก็บน้ำที่สูงที่สุดในรอบ 3 ปี และจะส่งผลบวกต่อผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ซึ่งเป็นฤดูแล้ง

ในปี 2566 CKP  รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์  (XPCL) ลดลงจากปริมาณการขายไฟฟ้าที่ลดลงตามปริมาณน้ำ และต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นตามแนวโน้มดอกเบี้ยโลก ประกอบกับ บริษัท ไฟฟ้า น้ำงึม 2  (NN2) มีรายได้จากการขายไฟฟ้าลดลงและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากงานซ่อมบำรุงใหญ่ตามแผนซ่อมบำรุง (Major Overhaul) ในขณะที่ บริษัท บางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น (BIC) มีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยในปี 2566 ที่ปรับลดลง จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 25.4% เพิ่มขึ้น 4.9% จากปี 2565 และมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทจำนวน 1,462 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 13% สะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งท่ามกลางวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งวิกฤตด้านราคาพลังงาน ภูมิรัฐศาสตร์ และสภาพภูมิอากาศ

นอกจากนี้บริษัทยังบรรลุเป้าหมายด้านต่าง ๆ ที่สำคัญต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน  ประกอบด้วยการได้รับคัดเลือกให้เข้าอยู่ในทำเนียบ “บริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน” หรือ ESG100 ประจำปี 2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากสถาบันไทยพัฒน์ รวมถึงได้รับการประเมินให้เป็น 1 ใน 34 บริษัทจดทะเบียนที่มีการบริหารจัดการด้านความยั่งยืนในระดับ “AAA” ซึ่งเป็นระดับสูงสุดใน SET ESG Ratings ตลอดจนได้รับรางวัล Commended Sustainability Awards จากงาน SET Awards 2023 โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

“แม้ว่าตลอดปีที่ผ่านมา CKP จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากวิกฤตการณ์สำคัญต่าง ๆ ทั่วโลกที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ  โดยเฉพาะปรากฎการณ์เอลนีโญที่เกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่บริษัทยังสามารถบริหารจัดการการดำเนินงาน ผ่านสภาวะความไม่แน่นอนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีกำไรสุทธิ มีกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวที่โรงไฟฟ้าทำไว้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) อีกทั้งยังคงสถานะทางการเงินที่มั่นคงได้อย่างสม่ำเสมอ โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ในระดับต่ำที่ 0.53 เท่า สะท้อนแนวทางการบริหารงานที่มุ่งสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างมีประสิทธิภาพ”นายธนวัฒน์กล่าว

ขณะเดียวกัน XPCL ยังประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Debentures) เพิ่มเติมในปี 2566 อีก 3,500 ล้านบาท โดยนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ไปชำระคืนเงินกู้ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยและลดต้นทุนทางการเงิน ท่ามกลางแนวโน้มภาวะดอกเบี้ยโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2566

สำหรับก้าวต่อไป CKP ได้วางเป้าหมายการเติบโตในด้านการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและรากฐานความมั่นคงทางพลังงาน ตลอดจนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศไทยก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน โดยในปี 2566 โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในเครือของกลุ่มบริษัท สามารถผลิตไฟฟ้าสะอาดส่งให้ประเทศไทยได้ กว่า 8.5 ล้านเมกะวัตต์ชั่วโมง (MWh) หรือคิดเป็นกว่า 17% ของไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ใช้ในประเทศในปี 2566 และสามารถหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 4.4 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ที่สามารถหวังผลในระยะยาวอย่างเป็นรูปธรรมภายในปี พ.ศ. 2593 และการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนทางพลังงานของประเทศไทย

ปัจจุบัน CKP ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานประเภทต่าง ๆ 3 ประเภท จำนวน 14 แห่ง รวมขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 3,633 เมกะวัตต์

ด้านบล.หยวนต้า(ประเทศไทย)ปรับเพิ่มประมาณการกำไรของ CKP ปี 2566-67 ขึ้นเป็น 1,282 ล้านบาท และ 1,385 ล้านบาท
ตามลำดับ เพื่อสะท้อนปริมาณน้ำในช่วงไตรมาส 4 ที่ผ่านมา ที่สูงกว่าที่ประเมินไว้และการขึ้นค่าไฟฟ้างวด ม.ค. – เม.ย. 2567 แม้ว่าเบื้องต้นคาดผลขาดทุนปกติไตรมาสแรกปีนี้ที่ราว 10-50 ล้านบาท พลิกเป็นขาดทุนจากไตรมาสก่อน ตามปัจจัยฤดูกาลของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในลาวขาดทุนน้อยลง YoY จากอานิสงส์ของการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าและต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลง

” ปรับราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ขึ้นเป็น 4.40 บาท/หุ้น แต่เรามองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาแล้วราว 24% YTD ได้สะท้อน
แนวโน้มกำไรไตรมาส 4 ที่เติบโตเด่น YoY ไปแล้ว จึงปรับคำแนะนำลงเป็น”เทรดดิ้ง””บล.หยวนต้าระบุ