กิโยติน กม.ตลาดทุนเสร็จ 3-6 เดือน! Big Impact หุ้นไทยฟื้น?

HoonSmart.com>>ประธานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ย้ำ “กิโยตินกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนแบบองค์รวม หรือ Omnibus law” สำเร็จได้ภายใน 3-6 เดือน? จะฟื้นความเชื่อมั่นต่อหุ้นไทยได้แรงและเร็ว ? เติมอีก 2 มาตรการใหญ่ ออกหุ้นสามัญพันธุ์ใหม่ สร้างธุรกิจ New Economy หวังปั้นยูนิคอร์น ให้เหมือนอินเดีย อังกฤษ ไม่ทิ้งฝันศูนย์กลางตลาดหุ้นอาเซียน ยังเชื่อภาษีช่วยเพิ่มสภาพคล่อง เตรียมขอลดหย่อนกรณีซื้อหุ้นด้วยตัวเอง เร่งโครงการจั๊มพ์พลัส ปลดล็อคซื้อหุ้นคืน

ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์

ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) หรือ ตลท. ทนไม่ไหวเปิดใจ “ไม่ได้อยู่เฉย เร่งศึกษาหาแนวทางฟื้นความเชื่อมั่น สร้างเสน่ห์ให้ตลาดทุน ดึงเงินใหม่ พร้อมกับย้ำว่า การที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง ไม่ไปไหน ไม่ได้เกิดเฉพาะกับตลาดหุ้นไทยประเทศเดียว แต่เกิดกับตลาดหุ้นทั่วโลก เพราะเกิดจากความขัดแย้งและสงครามทางการค้าระหว่างประเทศ การขยายตัวของเศรษฐกิจหรือจีดีพีไทยที่ไม่ได้เติบโต นักลงทุนต้องใจเย็นๆ ศึกษาและเลือกบริษัทจดทะเบียนที่มีผลการดำเนินงานดี มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ซึ่งมีอยู่จำนวนมาก อย่าเลือกหุ้นตามข่าวลือ อย่าแพนิคหรือตกใจ หุ้นมีลงก็ต้องมีขึ้น ถ้าไม่ขายก็ไม่ขาดทุน

ขณะที่ ตลาดหลักทรัพย์ฯไม่ได้อยู่เฉย และไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดทุนผ่านการแก้ไขกฎระเบียบภายใน และปรับปรุงประสิทธิภาพบริษัทจดทะเบียน การปลดล็อคกฎระเบียบการซื้อหุ้นคืนได้เกิน 10% แต่จะไม่เกิด Big Impact หรือเห็นผลแรงและเร็วที่สร้างความเชื่อมั่นได้ในเวลาอันรวดเร็วได้

กิโยตินกฎหมายตลาดทุนหุ้นพุ่งแน่??

สิ่งที่จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นแบบ Big Impact หรือเร็วและแรง คือ การทำกิโยตินกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนแบบองค์รวม ที่สามารถแก้ไขกฎหมายหลายฉบับพร้อมกันในคราวเดียว ซึ่งจะเป็นการปฏิรูปการลงทุนของตลาดทุนโดยรวม (Omnibus Law for Capital Market)


หากรัฐบาลตั้งใจทำ กิโยตินกฎหมาย อย่างจริงจัง จะสามารถแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนในไทยได้ภายใน 3-6 เดือน! จะทำให้ความเชื่อมั่นในตลาดทุนกลับมาได้อย่างรวดเร็วและเห็นผลแรง?? จากการที่จะมีสินค้าใหม่ๆเกิดขึ้น ดึงดูดบริษัทใหม่ๆ เข้ามาลงทุนในไทย และตลาดทุนไทย สามารถส่งเสริมธุรกิจแห่งอนาคตให้เกิดขึ้นในไทย และผลักดันให้เป็นตลาดทุนแห่งภูมิภาคอาเซียนได้ จากปัจจุบัน การแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรค จะทำครั้งละฉบับ ทำทีละเรื่อง หากเร่งด่วนใช้เวลาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 1 ปี ถ้าไม่เร่งด่วนจะใช้เวลา 2-3 ปีต่อฉบับ

เล็งออกหุ้นสามัญพันธุ์ใหม่

สำหรับ การแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนแบบองค์รวม หรือ Omnibus Law เป็นมาตรการที่ SET จะดำเนินการเพิ่มเติม เพื่อที่จะสามารถจัดโครงสร้างหุ้นสองระดับ (Dual-Class share)ให้เกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทย เหมือนที่ตลาดหุ้นในประเทศที่เจริญแล้ว รวมถึงตลาดในแถบอาเซียนบางประเทศมีหุ้นสองระดับแล้ว ,เพิ่มความคล่องตัวในการจัดโครงสร้างและการควบรวมกิจการ และจะร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อสร้างธุรกิจแห่งอนาคต หรือ New Economy ที่จำเป็นต้องสร้างระบบนิเวศน์ หรือ Ecosystem ที่เหมาะสมในการสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพ และเอสเอ็มอี และผลักดันให้ตลาดทุนไทยเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคอาเซียน

โดยทาง BOI ก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการที่จะแก้ไขกฎระเบียบที่ติดขัดด้านการส่งเสริมการลงทุน ของธุรกิจแห่งอนาคต อาทิ เทคโนโลยี กลุ่มนวัตกรรม กลุ่มธุรกิจการรักษาพยาบาลและการดูแลสุขภาพ หรือ Healthcare กลุ่มโรงแรมและการบริการ หรือ Hospitality กลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพ ที่จะมาลงทุน และจดทะเบียนในไทย สร้างกลไกให้รู้สึกว่าได้ประโยชน์ ไม่สูญเสียอำนาจการบริหาร

“การที่บริษัทจดทะเบียน มีโครงสร้างหุ้นสองระดับ คือมีหุ้นสามัญที่มีสิทธิโหวตไม่เท่ากัน เพื่อใช้ในการบริหารอำนาจในการควบคุมบริษัท จะทำให้เจ้าของบริษัทยังมีความมั่นใจว่าเมื่อนำหุ้นเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว ความเป็นเจ้าของยังมีสูง ไม่ได้สูญเสียอำนาจในการตัดสินใจ ยังมีอำนาจในการบริหารเต็มที่ เพื่อดึงดูดธุรกิจแห่งอนาคต หรือ New Economy เข้ามาในไทย และยังเป็นการสร้างนักลงทุนระยะยาวให้เกิดขึ้นด้วย เพราะธุรกิจลักษณะดังกล่าวต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลตอบแทน “ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์

ยึดฮับเฮลท์แคร์-ฮอสพิทอลลิตี้

ทั้งนี้ ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ มองว่า SET สามารถเป็นศูนย์กลางตลาดทุนด้าน Healthcare และธุรกิจโรงแรมและการบริการ Hospitality ได้ เพราะธุรกิจดังกล่าวที่เป็นบริษัทจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ(บจ.) มีมูลค่าตลาดสูงถึง 2.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ มีการลงทุนอยู่ทั่วโลก มีอัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น( ROE) สูงถึง 18.6% ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ซึ่งขณะนี้ทางตลท.อยู่ระหว่างการจัดกลุ่มธุรกิจเพื่อทำการนำเสนอข้อมูลถึงจุดแข็งดังกล่าว เพื่อจะดึงดูดบริษัทและเงินเข้ามาลงทุนในไทย

ปั้นธุรกิจแห่งอนาคต

ขณะที่ ธุรกิจแห่งอนาคต หรือ New Economy มีแผนที่จะใช้ตลาดทุนไทยเป็นแหล่งระดมทุนที่เหมาะสมและเอื้อต่อการขยายธุรกิจของ สตาร์ทอัพ และกลุ่มเอสเอ็มอี โดยมองเรื่องการจัดคลัสเตอร์ หรือกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประเทศอินเดีย และอังกฤษ ทำมาแล้ว ที่อาจจะต้องศึกษาว่าจะทำการสร้างแพล็ตฟอร์มใหม่ขึ้นมาใหม่ หรือ จะใช้ตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVEx)ที่มีอยู่เดิม ส่วนตลาด เอ็ม เอ ไอ (mai) ยังคงรองรับบริษัทขนาดกลางและเล็ก หรือ เอสเอ็มอี ที่เป็นธุรกิจดั้งเดิมต่อไป

แต่งตัว”เอสเอ็มอี”เข้าตลาด-ควบรวม

ส่วนมาตรการเพิ่มความคล่องตัวในการจัดโครงสร้างและการควบรวมกิจการ จะสนับสนุนให้ธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีอยู่กว่า 9 แสนรายทั่วประเทศ และมี 3 แสนรายที่เข้าเกณฑ์เสียภาษี และที่เสียภาษีจริงๆ มีประมาณ 1 แสนราย มีการทำบัญชีเดียวให้ถูกต้องและโปร่งใส เข้าสู่ระบบการเสียภาษีออนไลน์ โดยมีแผนที่จะเริ่มกับเอสเอ็มอีที่เป็นผู้ผลิตสินค้าและบริการ ป้อนบจ.ในตลาดหลักทรัพย์ที่มีอยู่ จะทำให้ง่ายต่อการเข้าซื้อกิจการ เพราะสามารถเห็นสถานะทางการเงินที่แท้จริง ที่อาจจะต้องสร้างแพล็ตฟอร์มการเสียภาษีออนไลน์ขึ้นมารองรับในอนาคต

ขอลดหย่อนภาษีซื้อหุ้น

ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ กล่าวว่า จะมีการขอลดหย่อนภาษีกรณีซื้อหุ้นเองเพื่อการลงทุนระยะยาวเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อการเกษียณ (Thai Individual Savings Account:TISA)และเมื่อขายก็ไม่ต้องเสียภาษีจากกำไร คล้ายกับโมเดล (Nippon Individual Savings Account:NISA) ของญี่ปุ่นที่ได้ผลมาแล้ว ทำให้ราคาหุ้นกลับขึ้นมาได้ ที่ได้ทำการศึกษาร่วมกับทางกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งใกล้เสร็จแล้ว เหลือเพียงวงเงินที่เหมาะสมในการขอลดหย่อนภาษี และจำนวนปีที่ต้องลงทุน หลังจากนั้นจะมีการนำไปหารือกับกระทรวงการคลัง ซึ่งคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา? โดยจะเป็นคนละก้อนกับสิทธิลดหย่อนภาษีจากการลงทุนผ่านกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และสิทธิภาษีที่ลงทุนผ่านกองทุน ThaiESG

คลังไม่เมินภาษีจั๊มพ์พลัส

“กระทรวงการคลังรับเรื่องการลดภาษีให้กับบจ.ในกรณีที่มีกำไรหลังจากปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ ภายใต้โครงการ Jump+ ไปพิจารณาแล้ว ก็จะเร่งให้โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นให้เร็วที่สุด เพราะเห็นตัวอย่างในตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่ทำแล้ว ทำให้ฟื้นตลาดหุ้นขึ้นมาได้ “ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ กล่าว

ขณะนี้ ตลท.อยู่ระหว่างการหารือกับสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ เพื่อจัดทำเครื่องมือวิเคราะห์ความสำเร็จ วิธีการเพิ่มมูลค่า วิเคราะห์งบการเงิน การฝึกอบรมบุคลากร ที่ปรึกษาและสนับสนุนการจัดทำแผนธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และ หารือกับกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF)ถึงเม็ดเงินที่จะใช้ในการสร้างแพล็ตฟอร์มในโครงการดังกล่าว

พาณิชย์รับปลดล็อคซื้อหุ้นคืนเกิน 10%

ส่วนมาตรการ ปลดล็อคการซื้อหุ้นคืนเกิน 10% ได้ หรือ Treasury Stock Buyback เพื่อให้บริษัทจดทะเบียนสามารถซื้อหุ้นคืนได้เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง และพยุงราคาหุ้นในกรณีที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงตามบัญชี ที่จะต้องมีการแก้กฎหมายบริษัทมหาชน ที่อยู่ภายใต้กระทรวงพาณิชย์นั้น ทางกระทรวงพาณิชย์ก็รับไปพิจารณาแล้ว และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก็สนับสนุนให้ทำได้

“ในภาวะที่ตลาดหุ้นปกติ จะมีบจ.ที่ทำการซื้อหุ้นคืนเฉลี่ยปีละ 15 บริษัท แต่จากการที่ปัจจุบันสถานการณ์ด้านการลงทุนไม่ปกติ และราคาหุ้นที่มีปรับลดลงต่ำกว่าความเป็นจริง หากกฎหมายให้ทำได้ เชื่อว่าจะทำให้มีบริษัทซื้อหุ้นคืนเพิ่มจำนวนขึ้น”ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้ ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ หวังว่า ด้วยมาตรการต่างๆ ข้างต้นจะฟื้นฟูความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทย และสร้างความเข้มแข็งให้กับตลาดทุนในระยะยาว

รายงานโดย วารุณี อินวันนา