KAsset มองหุ้นไทยปีนี้ 1,350 จุด แนะเก็บหุ้นปันผลชูแบงก์-สื่อสารเด่น

HoonSmart.com>>บลจ.กสิกรไทย (KAsset) มองดัชนี SET สิ้นปี 68 ระดับ 1,350 จุด หลังหั่นกำไรบจ. แนะทยอยลงทุน “หุ้นปันผลสูง” ชูผลตอบแทนชนะตลาดรวม รับมือความผันผวน ความไม่แน่นอนเศรษฐกิจ “ทรัมป์” เก็บภาษีสินค้าไทยกด GDP ลงอีก ชูกองทุน K-VALUE ตอบโจทย์ ด้านกองรีท-อสังหา “K-PROPI” ปันผลแกร่ง ส่วน “ตราสารหนี้” ยังให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก แนะกองทุน K-SF พักเงินระยะสั้น กรณีลงทุน 1 ปีขึ้นไปแนะกองทุน K-FIXEDPLUS-A

 

ภารดี มุณีสิทธิ์

 

นางสาวภารดี มุณีสิทธิ์, CFA รองกรรมการผู้จัดการ สายการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย (KAsset) กล่าวว่า บลจ.กสิกรไทย มองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยภายใต้การปรับคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) ใหม่อยู่ที่ระดับ 1,350 จุด โดยกรอบดัชนีในช่วงนี้อยู่ที่ 1,100-1,200 จุด ซึ่งการย้ายเงินจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ไปยังกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน 2 (Thai ESG 2) นั้นมองว่าไม่ได้กระตุ้นตลาดหุ้นไทยได้มากนัก เนื่องจากเป็นเม็ดเงินลงทุนเก่า ซึ่งมาตรการดังกล่าวน่าจะช่วยประคองแรงขาย LTF ที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นโดยรวมมากกว่า

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 2568 นี้มองว่าจะกลับมาเติบโตได้จากฐานที่ต่ำในปีก่อน จากกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปี 2567 ที่คาดว่าจะเติบโตติดลบ 7% จากตลาดการณ์คาดเติบโตได้เกือบ 10% จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตั้งแต่ต้นปีประมาณ 13% อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ยังคาดการณ์กำไรบจ.ปีนี้เติบโต 10.5% น่าจะดีขึ้นในเชิง Sentiment “นางสาวภารดี กล่าว

 

 

“ดัชนีต่ำกว่า 1,200 จุดมี Downside ต่ำแล้ว ในเชิง Valuation ทั้งอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไร (P/E) และอัตราส่วนราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) จึงเป็นโอกาสทยอยสะสมหุ้นขนาดใหญ่ปันผลสูงที่ไม่ได้มีแผนใช้เงินลงทุน (Capex) เช่น กลุ่มธนาคาร ซึ่งที่ผ่านมาประกาศจ่ายเงินปันผลสูงและมีแผนซื้อหุ้นคืน หนุนให้อัตราส่วนผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) เพิ่มขึ้นและหุ้นกลุ่มสื่อสาร หลังการควบรวมของสองค่ายทำให้การแข่งขันไม่รุนแรงเหมือนที่ผ่านมา จึงมองหุ้นทั้งสองกลุ่มสามารถถือลงทุนได้ในระยะยาว”นางสาวภารดี กล่าว

นางสาวภารดี กล่าวอีกว่า แม้ตลาดหุ้นโดยรวมยังถูกกดันจาก GDP แต่มองโอกาสลงทุนในหุ้นปันผลสูง ซึ่งให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดโดยรวม (SET) โดยหุ้นปันผล (SETHD (TRI)) ผลตอบแทน 17% เมื่อเทียบลงทุนตลาดหุ้นไทย (SET (TRI)) -13.54% จึงมองในช่วงเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่อน มีความผันผวนและประธานาธิบดีทรัมป์อาจเก็บภาษีสินค้านำเข้าไทย อาจทำให้ GDP ลดลงได้อีก ดังนั้นหุ้นปันผลสูงยังน่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดหุ้นโดยรวม

สำหรับกองทุนแนะนำ ได้แก่ K-VALUE (กองทุนเปิดเค หุ้นปันผล) เน้นหุ้นขนาดใหญ่ คุณภาพดีและจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง 5.5% เมื่อเทียบดัชนี SET รวมเงินปันผลอยู่ที่ 4%

นอกจากหุ้นปันผลแล้ว บลจ.กสิกรไทยยังแนะนำลงทุนทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่กองทุน K-PROPI (กองทุนเปิดเค Property Infra Flexible) ลงทุนในไทยและสิงคโปร์ เน้นอสังหาริมทรัพย์และโครงสรางพื้นฐาน ในกลุ่มค้าปลีก โลจิสติกสฺและดาต้า เซ็นเตอร์ ปันผลประมาณ 6-8% อีกทั้งยังได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง
 

ฐานันดร โชลิตกุล

 

ด้านนายฐานันดร โชลิตกุล, CFA รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนตราสารหนี้ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ทิศทางดอกเบี้ยโลกยังเป็นขาลง ซึ่งบลจ.กสิกรไทยและเจพี มอร์แกนมองแนวโน้มธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)จะลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้งในปีนี้และปีหน้า 1 ครั้ง รวมรอบนี้ 4 ครั้ง จาก 4.5% เหลือ 3.5% จึงมองวัฏจัรดอกเบี้ยขาลงหนุนให้ตลาดตราสารหนี้ยังน่าสนใจ จึงมองตราสารหนี้โลกและตราสารหนี้สหรัฐฯ ยังไปต่อ แนะนำเริ่มทยอยสะสม

ส่วนทิศทางดอกเบี้ยของไทยหลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% ยังมองมีโอกาสลดดอกเบี้ยลงได้อีกครั้งเหลือ 1.50% จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.75% ทำให้การลงทุนในตราสารหนี้ยังน่าสนใจ

“แนวโน้มดอกเบี้ยขาลงยังคงแนะนำกองทุนตราสารหนี้ ซึ่งตราสารหนี้ระยะยาวให้ผลตอบแทนดีกว่าตราสารหนี้ระยะสั้น โดยผลตอบแทนกองทุนตราสารหนี้ 1 ปีย้อนหลัง ตราสารหนี้ระยะยาวให้ผลตอบแทน 3% กลางๆ ขณะที่ตราสารหนี้ระยะสั้นผลตอบแทน 2% กว่า ถ้าเทียบกับดอกเบี้ยเงินฝากหรือการลงทุนในเทอมฟันด์ มีผลตอบแทนที่ดีกว่า”นายฐานันดร กล่าว

สำหรับกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นแนะนำกองทุน K-SF (กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ระยะสั้น) สำหรับพักเงินระยะสั้น 1-3 เดือน ซึ่งมองใน 1 ปีข้างหน้า ผลตอบแทนประมาณ 1.8-2% สูงกว่าเงินฝาก

ส่วนกองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาว แนะนำถือลงทุน 1 ปีขึ้นไป ได้แก่ กองทุน K-FIXEDPLUS-A (กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ พลัส ชนิดผู้ลงทุนทั่วไป) ปัจจุบันในพอร์ตตราสารมีอายุเฉลี่ย 2-3.5 ปี ซึ่งให้ผลตอบแทนดีกว่าตราสารหนี้ระยะสั้นหากดอกเบี้ยปรับตัวลดลง ซึ่งกองทุนจะได้รับประโยชน์จากราคาตราสารปรับขึ้น โดยมองธปท.มีโอกาสปรับลดดดอกเบี้ยลงได้อีก ปัจจุบันพอร์ตการลงทุนกระจายลงทุนในหุ้นกู้ในประเทศ 43% พันธบัตรรัฐบาล 31% และลงทุนต่างประเทศ 26% โดยมีผลตอบแทน 1 ปีย้อนหลัง อยู่ที่ 3.43% (ข้อมูล ณ 27 ก.พ.2568)

 
 

อ่านข่าว

บลจ.กสิกรไทยตั้งเป้า AUM แตะ 2 ล้านลบ. ปี 70 ชู 3 กลยุทธ์มุ่งสู่ Trusted Asset Manager