บล.กสิกรฯยืนแนวต้าน 1,400 จุด ฟันด์โฟลว์ชี้นำสัปดาห์หน้า

HoonSmart.com>> บล.กสิกรไทยให้แนวรับที่ 1,380 และ 1,370 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,400 และ 1,415 จุด สัปดาห์หน้า ด้านค่าเงินบาท ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบเคลื่อนไหวที่ระดับ 35.70-36.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ หลังจากแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 2 เดือนครึ่งที่ 35.98 บาท 

บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยมองหุ้นสัปดาห์ถัดไป (12-16 ก.พ.2567) ว่า ดัชนีหุ้นมีแนวรับที่ 1,380 และ 1,370 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,400 และ 1,415 จุด ตามลำดับ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ และผลประกอบการงวดไตรมาส 4/66 ของบจ. ไทย

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ยอดค้าปลีก ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านเดือนม.ค. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2566 ของยูโรโซน ญี่ปุ่นและอังกฤษ ตลอดจนผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธ.ค.ของยูโรโซน ญี่ปุ่น และอังกฤษ

ในวันศุกร์ที่ 9 ก.พ. 2567 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,388.37 จุด เพิ่มขึ้น 0.31% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 41,972.37 ล้านบาท ลดลง 3.77% ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 1.78% มาปิดที่ระดับ 416.29 จุด

ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 1,400 จุดได้ช่วงสั้นๆ กลางสัปดาห์ ก่อนจะย่อตัวลงในช่วงที่เหลือของสัปดาห์

หุ้นทยอยขยับขึ้นในช่วงก่อนการประชุม กนง. โดยมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นหลายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยวและค้าปลีกที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และกลุ่มพลังงานที่มีแรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก หุ้นขยับขึ้นต่อเนื่องมายืนเหนือระดับ 1,400 จุดในช่วงกลางสัปดาห์ หลังกนง. มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ให้คงดอกเบี้ย และปรับลดตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจปี 2567 ซึ่งทำให้ตลาดประเมินว่า มีโอกาสที่จะเห็นการผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น

อย่างไรก็ดีหุ้นย่อตัวลงในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ตามแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ โดยมีการขายทำกำไรหุ้นบิ๊กแคปในหลายอุตสาหกรรม อนึ่ง ปริมาณการซื้อ-ขายของตลาดหุ้นค่อนข้างเบาบางในช่วงปลายสัปดาห์ สอดคล้องกับการปิดทำการของตลาดหุ้นหลายแห่งในภูมิภาคในช่วงเทศกาลตรุษจีน

ส่วนค่าเงินบาท สัปดาห์ถัดไป (12-16 ก.พ.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวที่ระดับ 35.70-36.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ หลังจากเงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 2 เดือนครึ่งที่ 35.98 บาทต่อดอลลาร์ฯ

เงินบาทอ่อนค่าลงตามสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคในช่วงต้นสัปดาห์ท่ามกลางแรงหนุนของเงินดอลลาร์ฯ จากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ซึ่งออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด แต่เงินบาทสามารถฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนในช่วงต่อมาตามเงินหยวนที่แข็งค่าขึ้นช่วงสั้นๆ รับสัญญาณการเข้าดูแลเสถียรภาพตลาดหุ้นของทางการจีน ประกอบกับน่าจะมีแรงซื้อคืนเงินบาทเพื่อปรับโพสิชั่นก่อนการประชุม กนง. กลางสัปดาห์

อย่างไรก็ดี เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงอีกครั้งในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ หลังผลการประชุมกนง. ซึ่งมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ 5 ต่อ 2 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.50% และได้ปรับลดตัวเลขประมาณการอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ลงมา

นอกจากนี้เงินบาทยังอ่อนค่าลงตามทิศทางเงินเยน หลังจากผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กล่าวว่า BOJ จะยังคงใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไปอีกระยะ แม้อาจจะมีการยุตินโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบในระยะข้างหน้า ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ แข็งค่าขึ้นรับถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดที่สะท้อนว่า จังหวะการลดดอกเบี้ยของสหรัฐฯ อาจไม่เกิดขึ้นเร็ว เนื่องจากเฟดต้องการมั่นใจว่าอัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวเข้าสู่ระดับเป้าหมายที่ 2%

ในวันศุกร์ที่ 9 ก.พ. 2567 (ก่อนช่วงตลาดนิวยอร์ก) เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 35.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับ 35.25 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (2 ก.พ. 2567)

สำหรับสถานะพอร์ตลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 5-9 ก.พ. 2567 ขายสุทธิหุ้นไทย 1,028 ล้านบาท และมีสถานะเป็น Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 11,917 ล้านบาท (ขายสุทธิพันธบัตร 9,917 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 2,000 ล้านบาท)