“MINT” ตั้งเป้ากำไรปีนี้โต 20% ลงทุน 1.3 หมื่นล.รับท่องเที่ยวฟื้น

HoonSmart.com>> ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เดินหน้าลดหนี้ปี’67 ลงอีกหมื่นล้านบาท ขยายธุรกิจใหม่ ดันกำไรเข้าเป้าโตเฉลี่ยปีละ 15-20% ต่อเนื่อง 3 ปี ใส่เงินลงทุนก้อนแรก 10,000-13,000 ล้านบาทในธุรกิจโรงแรม 70% ธุรกิจร้านอาหาร 30% จากงบลงทุน 3 ปี  30,000 ล้านบาท

นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) เปิดเผยถึงแผนการทำธุรกิจในอีก 3 ปีข้างหน้า คือ ปี 2567-2569 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 8-10% ต่อปี (ปี 2566 153,486 ล้านบาท) และกำไรเพิ่มขึ้น 15-20% ต่อปี โดยปี 2567 จะลดภาระหนี้สินเหลือ 90,000 ล้านบาท จะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลงมาอยู่ที่ 0.8 เท่า จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1 เท่า หรือ 100,000 ล้านบาท และ EBITDA อยู่ที่ 4.3 เท่า จากปี 2566 อยู่ที่ 6 เท่า

สำหรับ ปี 2567 เตรียมใช้เงินลงทุน 10,000-17,000 ล้านบาท จากช่วงโควิดที่ไม่ได้ลงทุนเพื่อรักษาสภาพคล่อง โดยจะใช้ในธุรกิจโรงแรม 70% และธุรกิจอาหาร 30% ในส่วนของโรงแรมใหม่อีก 200 – 250 แห่ง ซึ่งได้ปิดดีลแล้ว 81 แห่ง และอยู่ระหว่างการเจรจา 40-50 แห่ง ที่เหลืออยู่ระหว่างการศึกษา ซึ่งจะทำให้จำนวนโรงแรมทั้งหมดเพิ่มเป็น 780 แห่ง ส่วนธุรกิจอาหารจะขยายสาขาอีก 1,000 แห่ง รวมเป็น 3,700 สาขา ซึ่งจะมีการขยายธุรกิจในตลาดเกิดใหม่ ประกอบด้วย ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง อินเดีย อินโดนีเซีย จีน นอกเหนือจากตลาดที่ทำธุรกิจอยู่ในปัจจุบัน 63 ประเทศทั่วโลกครอบคลุม ยุโรป ออสเตรเลีย เอเชีย ไทย

“งบลงทุน 3 ปีของเราวางไว้ 30,000 ล้านบาท เพราะเรามองเห็นโอกาสธุรกิจที่การท่องเที่ยวกำลังเติบโตทั่วโลกตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา ต่อเนื่องถึงปี 2567 ที่เริ่มต้นปีอย่างแข็งแกร่ง เห็นจากรายได้จากห้องพักในเดือนมกราคมและรายได้จากการจองห้องพักล่วงหน้าในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมในไทยสูงกว่าช่วงโควิดถึง 39% และในยุโรปสูงขึ้น 20% และจากการที่มีธุรกิจกระจายอยู่ทั่วโลกทำให้มีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยในไทยช่วงที่พีคสุดของรายได้คือไตรมาส 4 และไตรมาส 1 ในขณะที่ยุโรปช่วงพีคสุดคือไตรมาส 2 กับไตรมาส 3 ของทุกปี” นายดิลลิป กล่าว

นายดิลลิป กล่าวว่า จากการจับฐานลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวระดับบนที่มีกำลังซื้อสูงในทุกสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ทำให้บริษัทมีรายได้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจซบเซา เงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยสูง รวมถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศ เช่น นักท่องเที่ยวที่ภูเก็ต มีการใช้จ่ายต่อหัวเดือนละ 90,000 บาท จึงมั่นใจว่าเป้าหมายที่วางไว้จะสามารถเป็นไปตามแผน แต่จะมีความกังวลด้านการสร้างคนให้เต็มกำลังเพื่อรองรับการกลับมาของธุรกิจท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างรวดเร็วให้ทัน เพราะช่วงโควิดพนักงานส่วนหนึ่งได้ออกจากธุรกิจไป ซึ่งปัจจุบันมีพนักงานทั่วโลกที่อยู่ใน 63 ประเทศ 76,000 คน โดยในช่วง 3 ปีนับจากนี้จะเพิ่มจำนวนพนักงานปีละ 8-10%

สำหรับ การสร้างอัตราการเติบโตของกำไร นอกจากจะลดภาระหนี้สิน ใช้เงินลงทุนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ในส่วนของไมเนอร์ โฮเทลส์ จะทำการเปิดโรงแรมใหม่ในพื้นที่ที่สามารถทำราคาห้องพักได้ดี และทำการปรับปรุงโรงแรมเพื่อสามารถเพิ่มราคาห้องพักได้ และกลยุทธ์ดึงนักท่องเที่ยวเข้าพักให้เต็มอัตราในช่วงโลว์ซีซั่น เพื่อสร้างการเติบโตด้วยตัวเองแล้ว จะเพิ่มการหารายได้จากการรับจ้างบริหารโรงแรม( Asset light) ซึ่งจะทำให้ประหยัดเงินลงทุน ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนโรงแรมที่รับจ้างบริหารคิดเป็น 18% ของโรงแรมทั้งหมด แต่จะเพิ่มสัดส่วนเป็น 40% ในปี 2569 โดยจะมีการขายทรัพย์สินบางส่วนออกไปแล้วรับจ้างบริหาร
ส่วนไมเนอร์ ฟู้ดส์ นอกจากจะลงทุนขยายสาขาใหม่ๆ แล้ว ยังจะทำการพัฒนาเมนูใหม่ๆ ให้เหมาะกับในแต่ละพื้นที่

“ปัจจุบันรายได้ธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศมีสัดส่วน 90% และในประเทศ 10% ในขณะที่ธุรกิจอาหารจะมาจากในประเทศไทย 60% และต่างประเทศ 40% คิดว่าในอีก 3 ปีข้างหน้าก็จะยังอยู่ในระดับดังกล่าว”นายดิลลิป กล่าว