ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนปรับลงสู่ระดับ “ซบเซา” กังวลตรึงดอกเบี้ย-เงินเฟ้อ-ศก.

HoonSmart.com>> “สภาธุรกิจตลาดทุน” (FETCO) เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้า (เม.ย.67) ลดวูบสู่ระดับ “ซบเซา” ปัจจัยฉุดจากเฟดตรึงดอกเบี้ยสถานการณ์เงินเฟ้อ เศรษฐกิจในประเทศถดถอย นักลงทุนหวังปัจจัยหนุนจากท่องเที่ยวฟื้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ชู “หุ้นท่องเที่ยวและสันทนาการ” น่าสนใจมากสุด

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนมกราคม 2567 (สำรวจระหว่างวันที่ 20–31 มกราคม 2567) พบว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 77.55 ปรับลดลง 43.4% จากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” โดยนักลงทุนมองว่าการการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ในขณะที่ปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ การตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) รองลงมาคือสถานการณ์เงินเฟ้อ และ การถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนมกราคม 2567 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้

  • ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (เมษายน 2567) อยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” (ช่วงค่าดัชนี 40-79) ปรับลดลง 43.4% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 77.55
  • ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคล และกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” ในขณะที่กลุ่มนักลงทุนสถาบันอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา”
  • หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดท่องเที่ยวและสันทนาการ (TOURISM)
  • หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (PROP)
  • ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
  • ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED)

    “ผลสำรวจ ณ เดือนมกราคม 2567 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่า ความเชื่อมั่นนักลงทุนทุกกลุ่มปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้า โดยกลุ่มนักลงทุนบุคคลปรับลด 26.9% อยู่ที่ระดับ 87.50 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับลด 12.5% มาอยู่ที่ระดับ 87.50 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับลด 13.5% อยู่ที่ระดับ 138.46 และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศปรับลด 60.0% อยู่ที่ระดับ 60.00

    SET Index ปรับตัวลดลงตลอดทั้งเดือนมกราคม จากความกังวลของนักลงทุนต่ออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2566 ซึ่งขยายตัวเพียง 1.8% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ รวมถึงภาคการส่งออกของไทยที่หดตัวลง 1% จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ความกังวลต่อผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่คาดว่าจะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ ผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจจีนและความความอ่อนแอของภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน อีกทั้งปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศในแถบตะวันออกกลางที่ยังไม่คลี่คลาย ส่งผลให้ SET Index ณ สิ้นเดือนมกราคม 2567 ปิดที่ 1,364.52 ปรับตัวลดลง 3.6% จากเดือนก่อนหน้า โดยในเดือนมกราคม 2567 ปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 47,111 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิประมาณ 30,870 ล้านบาท

    ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามได้แก่ ทิศทางการดำเนินมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงินในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก อาทิ สหรัฐฯ และ ยุโรป นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนโดยเฉพาะมาตรการรักษาเสถียรภาพตลาดทุนจีนซึ่งคาดว่าจะใช้เม็ดเงินถึง 2 ล้านล้านหยวน นอกจากนี้ ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ การประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนปี 2566 ความคาดหวังต่อการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวหลังรัฐบาลไทย—จีน ลงนามข้อตกลงยกเว้นการใช้วีซ่าในการเดินทางเข้าประเทศระหว่างกันที่จะเริ่ม 1 มีนาคม 2567 นี้ ความล่าช้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐซึ่งจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และผลการประชุม กนง.นัดแรกของปี 2567 ซึ่งต้องจับตามองการประกาศอัตราดอกเบี้ยนโยบายและประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจ