HoonSmart.com>> “กองทุนวายุภักษ์ 1” เผยทยอยซื้อหุ้นไทยต่อเนื่อง มองดัชนีลงต่ำกว่า 1,200 จุด ยังเป็นโอกาสลงทุนหุ้นพื้นฐานดี ราคาลงลึก แนวโน้มจ่ายเงินปันผลสูง ESG เด่น โชว์สภาพคล่องกองทุนมีมาก พร้อมรอรับเงินปันผลอีกหลายหมื่นล้านบาท

นางชวินดา หาญรัตนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย (KTAM) ในฐานะผู้บริหารจัดการกองทุนวายุภักษ์หนึ่ง (VAYU1) และนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” ว่า ปัจจุบันกองทุนวายุภักษ์เข้าลงทุนหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องและยังมองเป็นจังหวะเลือกซื้อหุ้น ซึ่งหลายบริษัทมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ดี จึงเป็นโอกาสของผู้จัดการกองทุนเลือกลงทุนและกระจายการลงทุนได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งเน้นลงทุนหุ้น ESG ตามที่ได้เปิดเผยในช่วงตั้งกองทุน
“กองทุนวายุภักษ์ พร้อมลงทุนตลอดเวลา วันนี้การบริหารจัดการเชิงรุก (Active) มาก ปัจจุบันมีสภาพคล่องเหลือและพร้อมลงทุนตลอดเวลา ซึ่งกองทุนได้รับเงินปันผลค่อนข้างมากจากการลงทุนหุ้นสำคัญ ซึ่งเราจะเลือกลงทุนในจังหวะเหมาะสม ไม่บุ่มบ่ามลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุน การเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ซึ่งวันนี้ราคาหุ้นถูกกดลงมากเราก็เข้าลงทุน”นางชวินดา กล่าว
พร้อมปฏิเสธกระแสข่าวว่า กองทุนวายุภักษ์กำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับอัตราส่วนสินทรัพย์ต่อหนี้สิน (Asset Coverage Ratio หรือ ACR) จนต้องปรับพอร์ตขายสินทรัพย์ ซึ่งปัจจุบัน ACR ของกองทุนยังอยู่ในระดับสูงกว่า 3 เท่า สามารถทำผลตอบแทนได้ดี รวมถึงเงินลงทุนที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ที่นำมาใช้ในการลงทุนผ่านการถือหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่มีพื้นฐานดี และได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูง และเพียงพอสำหรับจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุน ไม่จำเป็นต้องขายหุ้น ดังนั้นจากข่าวลือ ACR แตะ 2% อาจเห็นดัชนี 800-900 จุดนั้นไม่เป็นความจริง
นางชวินดา กล่าวว่า หากดัชนีลงไปถึงระดับดังกล่าว ถือว่าพี/อีต่ำมากน่าจะเห็นนักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อหุ้น เนื่องจากเงินลงทุนกระจายทั่วโลกและพร้อมเข้าลงทุนในตลาดหากมีการส่งสัญญาณว่าอยู่ระดับต่ำเกินไป เชื่อว่าต่างชาติก็จะกลับเข้ามาลงทุนในภาวะพื้นฐานรองรับ และหากประเทศมีการ GDP เติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป แม้ยังไม่ได้กลับสู่หมวดปกติแต่หากปัจจัยพื้นฐานรองรับ เชื่อว่าต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุนเช่นเดียวกับนักลงทุนไทยก็จะกลับมาลงทุนเช่นกัน
อย่างไรก็ตามในฐานะนายกสมาคม AIMC มองว่า ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยถูกกดลงมาแรงมาก จากนักลงทุนหลายกลุ่ม แรงขายจากนักลงทนุต่างชาติและส่วนหนึ่งจาก LTF ในขณะที่ประเทศไทยไมไดเกิดวิกฤต ยังมีการเติบโต แต่ช้าลงหรือชะลอตัวลง เงินเฟ้ออาจต่ำลง ภาครัฐก็พยายามช่วยหนุนการบริโภคภายในประเทศ ล่าสุดแบงก์ชาติ ประกาศลดดอกเบี้ย 0.25% เพื่อกระตุ้นให้เกิดการบริโภคภายในประเทศ วันนี้ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤต หลายกลุ่มยังมีโอกาสเติบโต จะมากหรือน้อยแต่ก็ยังเห็นการเติบโต จึงมองหุ้นไทย Downside Risk ต่ำ เป็นโอกาสเลือกลงทุนในหุ้นที่มีความแข็งแรงในระะยะยาวมากขึ้นเรื่อยๆ
“ดัชนีที่ปรับตัวลงมาแถว 1,200 จุดบวกลบ ทำให้ผู้จัดการกองทุนมองเป็นจังหวะที่จะทำรายได้หรือทำกำไรให้นักลงทุนในระยะยาวได้ดี ซึ่งปัจจุบัน P/E ไม่ได้สูงมาก เทรดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในระะยะสั้นหรือระยะยาวอยู่ที่ 18-19 เท่า และ P/E Forword บวกลบที่ 14 เท่า ซึ่่งทั้ง P/E และมูลค่าหุ้นทางบัญชี(P/BV) ต่ำกว่าเพื่อนบ้าน 1 กว่าเท่า ขณะที่อัตราผลตอบแทนเงินปันผลค่อนข้างดีปัจจุบันอยู่ที่ 4% เพิ่มขึ้นจากเดิมแถว 3% จึงมองเป็นจังหวะในการเลือกลงทุนในหุ้นไทย”นายกสมาคม AIMC กล่าว
ส่วนการไถ่ถอน LTF มีแรงขายมากในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นปกติของทุกปีและจะชะลอตัวลงช่วงถัดไป เพียงแต่แรงขาย LTF ปีนี้ขายมากในเดือนม.ค.เปนเท่าตัวและก.พ. แต่ก็ยังขายมากกว่าปีก่อน แต่ก็ชะลอตัวลงไม่กระทบกับเงินที่จะเข้าลงทุนของกองทุน
นางชวินดา กล่าวว่า ตลาดหุ้นเป็นเรื่อง Sentiment ความไม่มั่นใจในการลงทุน การอธิบายสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำ ไม่ว่าตลาดทุนจะอยู่ระดับไหนก็ตามความมั่นใจต้องมาก่อน ซึ่งันนี้ปัจจัยพื้นฐานของลาดทุนไทยเรามีองค์ประกอบหลายส่วนที่เชื่อว่าไปต่อได้ จึงไม่กังวลส่วนนี้แต่กังวลเรื่องของ Sentiment ความรู้สึกของนักลงทุน หากทำความเข้าใจกับนักลงทุนได้ดี ถ้าทุกอย่างผ่านไปได้ตลาดก็จะกลับมาและกลับมาได้ดี และหาก LTF มีแรงขายหยุดลงก็เป็นปัจจัยบวกต่อตลาด ซึ่งภาครัฐเองก็พยายามช่วยลดแรงเสียดทานแรงขายจาก LTF
อย่างไรก็ตาม การที่จะฟื้นตลาดหุ้นไทยจะต้องใช้หลายองค์ประกอบ เพื่อให้เกิดแรงกระตุ้น ทั้งในส่วนการบริโภคภายใน การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งตัวเลขนักท่องเที่ยวในช่วงต้นปีพบว่ามีการเติบโต ซึ่งปัจจัยดังกล่าวก็จะช่วยฟื้นฟูตลาดหุ้นไทยให้กลับมาปกติได้ จากปัจจุบันตลาดไม่ได้อยู่ในภาวะปกติและถูกกว่าปกติในอดีตที่ผ่านมา