7 ปัจจัยดันเบี้ยชีวิตปี’68 โต 2-3% ยึด ESG ฝ่าคลื่นความท้าทาย

HoonSmart.com>>สมาคมประกันชีวิตไทย คาด 7 ปัจจัยดันเบี้ยประกันชีวิตปี’68 โต 2%-3% จากปี’67 ที่มีเบี้ยรวม 6.53 แสนล้านบาท เดินหน้าฝ่า 3 คลื่นความท้าทายผ่านการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน

นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย คาดการณ์อัตราการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตปี 2568 อยู่ในช่วง 2%-3% หรือเพิ่มขึ้น 13,078.46 ล้านบาท – 19,617 ล้านบาท จากปี 2567 ที่มีเบี้ยรับรวม 653,923 ล้านบาท โดยมี 7 ปัจจัยสนับสนุนประกอบด้วย

หนึ่ง ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์ (Medical Inflation) ที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี เฉลี่ยปีละ 8% – 10% โดยบางปีสูงมากถึง 15% สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ

สอง การขยายช่วงอายุการรับประกันสุขภาพออกไปจนถึง 80 ปี จึงเป็นแรงผลักดันที่ทำให้การประกันสุขภาพและโรคร้ายแรงเติบโตต่อไปได้ และจะมีผลขยายไปถึงการประกันชีวิตอื่นๆ โดยเฉพาะประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance) ที่เป็นสัญญาหลักด้วย

สาม การเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ สี่ การเพิ่มขึ้นของแรงสนับสนุนและมาตรการจากภาครัฐ ห้า การผ่อนคลายกฎเกณฑ์การกำกับดูแลและส่งเสริมภาคธุรกิจผ่านโครงการนวัตกรรมต่างๆ

หก การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและระบบ AI เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ และ

เจ็ด การดำเนินงานปรับปรุงช่องทางการจำหน่ายที่มีอยู่ในปัจจุบันและผสานรูปแบบการขาย ไปจนถึงการส่งมอบบริการและธุรกรรมหลังการขายที่เกี่ยวข้องกับกรมธรรม์ เพื่อยกระดับความพึงพอใจของผู้เอาประกันภัยจนสามารถขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น

ขณะที่ ปี 2568 ภาคธุรกิจประกันชีวิตยังต้องเผชิญกับปัจจัยท้าทายหลายด้าน ทั้งจาก หนึ่ง สภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนสูง และเศรษฐกิจไทยที่ยังเติบโตแบบชะลอตัว สอง ผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการออมและการลงทุนของประชาชน

สาม มาตรฐานการรายงานทางการเงิน TFRS 17 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 รวมถึงจับตาผลกระทบจากสงครามการค้าโลกและความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจ ซึ่งอาจสร้างความผันผวนต่อเศรษฐกิจไทยทั้งในภาคการค้าและบริการ

ทั้งนี้ ทางสมาคมฯได้เตรียมแผนดำเนินงานเพื่อรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้น โดยมุ่งเน้นแนวคิด การพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน (ESG) ซึ่งประกอบด้วย 3 ด้านสำคัญ ได้แก่

สิ่งแวดล้อม (Environment) สนับสนุนการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการใช้ทรัพยากรและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมความยั่งยืน

สังคม (Social) ให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงทางการเงินและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน ผ่านผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการ

การกำกับดูแล (Governance) ส่งเสริมหลักธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการธุรกิจ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและความน่าเชื่อถือของภาคอุตสาหกรรม

สำหรับปี 2567 ที่ผ่านมา ธุรกิจประกันชีวิตปี 2567 มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 653,923 ล้านบาท เติบโต 3.23% เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากกระแสการดูแลสุขภาพของประชาชนที่เพิ่มขึ้น และการบริหารความเสี่ยงทางการเงินของบริษัทประกันชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งเป็น เบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ (New Business Premium) 184,331 ล้านบาท เติบโต 3.28% เบี้ยประกันภัยปีแรก (First Year Premium) 120,026 ล้านบาท โต 6.81% เบี้ยประกันภัยจ่ายครั้งเดียว (Single Premium) 64,305 ล้านบาท ติดลบ 2.71% เบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป (Renewal Premium) 469,592 ล้านบาท โต 3.21% อัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ อยู่ที่ 83%

สำหรับ ผลิตภัณฑ์ที่มีการเติบโตโดดเด่น ได้แก่ ประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง (Health+CI) มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 124,786 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.66% ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance) มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 110,777 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.93% ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ (Endowment Insurance) มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 282,302 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.76%

ด้านช่องทางการจำหน่าย ที่มีเบี้ยประกันรับรวมมากที่สุด ได้แก่ ตัวแทนประกันชีวิต (Agency) 346,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.32% ธนาคาร (Bancassurance): 245,498 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.67% นายหน้าประกันชีวิต (Broker) 34,484 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.93% โทรศัพท์ (Tele Marketing) 12,910 ล้านบาท ติดลบ 5.49%


ทั้งนี้ สมาคมประกันชีวิตไทยยังคงเน้นนโยบายการบริหารความเสี่ยงที่รอบด้านและการรักษาสถานะทางการเงินให้มั่นคง โดยอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนตามความเสี่ยง (CAR Ratio) ในไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 373.30% ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานที่กำหนด