HoonSmart.com>>ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก 159 จุด สวนทาง S&P 500, Nasdaq ร่วง หลังรายงานข้อมูลความเชื่อมั่นผู้บริโภคซบเซา นักลงทุนกังวลความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้นและการค้าโลก “ด้านราคาน้ำมันดิบ” ลดลง WTI ร่วง 2.5% หลุดต่ำ 70 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดบวก
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 25กุมภาพันธ์ 2568 ปิดที่ 43,621.16 จุด เพิ่มขึ้น 159.95 จุด หรือ +0.37% แต่ดัชนี S&P 500 และNasdaq ลดลงหลังการรายงานข้อมูลความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ซบเซา ทำให้นักลงทุนกังวลต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้นและการค้าโลก
ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 5,955.25 จุด ลดลง 28.00 จุด, -0.47%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,026.39 จุด ลดลง 260.54 จุด, -1.35%
ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ต่างปรับลงเป็นวันสี่ติดต่อกัน
หุ้น Nvidia ลดลง 2.8% และฉุดดัชนี Nasdaq
ตลาดปรับตัวลดลงหลังจากผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 70% ของ GDP ของสหรัฐฯ ครั้งล่าสุดจาก Conference Board ต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้มาก
Conference Board เผยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนกุมภาพันธ์ลดลงมาที่ 98.3 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2024 จาก 105.3 ในเดือนมกราคม และลดลงรายเดือนมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2021 อีกทั้งต่ำกว่า 102.3 ที่นักวิเคราะห์คาด บ่งชี้ว่าชาวอเมริกันมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบเชิงลบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายการบริหารงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
การรายงานดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคออกมาหลังจากการเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งการผลิตและยอดค้าปลีก บวกับคาดการณ์แนวโน้มที่ค่อนข้างระมัดระวังจาก Walmart ที่ส่งผลให้ความเชื่อมั่นต่อสถานะของผู้บริโภคและเศรษฐกิจแย่ลง
รอสส์ เมย์ฟิลด์ นักกลยุทธ์การลงทุนของ Baird Private Wealth Management กล่าวว่า ทั้งหมดนี้รวมกันทำให้มีคำถามถึงรากฐานของความเข้มแข็งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ซึ่งก็คือผู้บริโภคและตลาดงาน
ปีเตอร์ ทูซ ประธาน Chase Investment Counsel กล่าวว่า เห็นได้ชัดว่าเป็นทั้งวันและเดือนที่มีความเสี่ยงสูง บริษัทหลายแห่งมีความกังวลเกี่ยวกับทิศทางการใช้จ่ายของผู้บริโภค และตัว
เลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคล่าสุดก็แสดงให้เห็นแล้ว
ทอม บาร์กิน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)แห่งริชมอนด์กล่าวเมื่อวันอังคารว่าความไม่แน่นอนในปัจจุบันทำให้ต้องดำเนินนโยบายการเงินที่ต้องประเมินผลอย่างระมัดระวัง
ดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค
นักลงทุนหันไปหาตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ เพื่อความปลอดภัย ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีลดลงต่ำกว่า 4.3% และแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม
หุ้นธนาคารรายใหญ่ร่วงลงจากความกังวลที่เพิ่มขึ้นต่อภาวะถดถอย หุ้น Goldman Sachs, Wells Fargo และ JPMorgan Chase ต่างลดกว่า 1%
หุ้นที่ขับเคลื่อนการปรับขึ้นของตลาดก็ลดลงเช่นกัน โดยหุ้น Palantir ลดลง 3% หุ้น Meta Platforms ลดลง 1.6% หุ้น Tesla ลดลงกว่า 8% ส่งผลให้มูลค่าตลาดของ Tesla ต่ำกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์
หุ้น Nvidia ลดลง 2.8% ก่อนที่การรายงานประกอบการในวันพุธตามเวลาสหรัฐฯ และฉุดดัชนีหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ที่ตลาดหุ้นฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia SE Semiconductor Index) ลง 2.3%
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งพยายามที่จะจำกัดขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของจีน มีแผนที่จะควบคุมปริมาณและประเภทชิปของ Nvidiaที่อาจจะถูกส่งออกไปยังประเทศจีนโดยไม่ต้องมีใบอนุญาต
ความกังวลต่อการค้าที่เพิ่มขึ้นยังส่งผลต่อความไม่แน่นอนของตลาดอีกด้วย ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศเมื่อวันจันทร์ว่า การเก็บภาษีนำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกจะเดินหน้าหลังจากการเลื่อนออกไป 30 วันสิ้นสุดลง
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ ในวันศุกร์นี้
ตลาดยุโรปปิดบวกจากการนำปรับขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มเฮลธ์แคร์ที่ช่วยชดเชยการลดลงของหุ้นเทคโนโลยี
หุ้น HSBC และหุ้น Banco Santander เป็นหุ้นที่หนุนกลุ่มธนาคารมากสุดให้อยู่ที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2008
หุ้นกลุ่มเฮล์แคร์เพิ่มขึ้น 1% โดยหุ้นใหญ่อย่าง Novo Nordisk เพิ่มขึ้น 2.8% และหุ้น Smith+Nephew บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ของสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้น 6.1% หลังจากยอดขายและกำไรทั้งปีสูงเกินคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
หุ้นกลุ่มเทเลคอมบวก 1.2% แต่การเทขายหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลกทำให้ดัชนีกลุ่มเทคโนโลยีลดลง 1.5% โดยหุ้น ASML บริษัทชิปยักษ์ใหญ่ลดลง 2.2%
หุ้นที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่าง Schneider Electric และ Siemens Energy ร่วงลง 3.6% และ 7.3% ตามลำดับ หลังมีรายงานว่าฝ่ายบริหารของทรัมป์มีวางแผนคุมเข้มข้อจำกัดเกี่ยวกับเซมิคอนดักเตอร์ที่ส่งไปยังจีน
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับลงมากที่สุด โดยลดลง 1.8%
นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เคียร์ สตาร์เมอร์ กล่าวว่าจะเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมต่อปีเป็น 2.5% ของ GDP ภายในปี 2570 และตั้งเป้าไว้ที่ 3% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดหลังสงครามเย็น
BAE Systems ของอังกฤษ เพิ่มขึ้น 4.7% ในขณะที่บริษัทด้านการป้องกันประเทศในยุโรปส่วนใหญ่อ่อนตัวลงจากที่ปรับขึ้นในช่วงแรก
ในเยอรมนี เศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 หดตัว 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับตัวเลขประมาณการเบื้องต้น
ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 554.20 จุด เพิ่มขึ้น 0.81 จุด, +0.15%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,668.67 จุด เพิ่มขึ้น 9.69 จุด, +0.11%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,051.07 จุด ลดลง 39.92 จุด,-0.49%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 22,410.27 จุด ลดลง 15.66 จุด, -0.07%
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนเมษายน ลดลง 1.77 ดอลลาร์ หรือ 2.5% ปิดที่ 68.93 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2024
และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนเมษายนลดลง 1.76 ดอลลาร์ หรือ 2.35% ปิดที่ 73.02 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2024
———————————————————————————————————————————————————–

