ทรัสต์ AIMIRT ชงผู้ถือหน่วยไฟเขียวลงทุนเพิ่มหนุนยิลด์เฉลี่ยกว่า 7.9%

‘เอไอเอ็ม รีท แมนเนจเม้นท์’ เดินหน้าขออนุมัติผู้ถือหน่วยนำทรัสต์ AIMIRT เข้าลงทุนเพิ่มทรัพย์สินใหม่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความหลากหลาย ทั้งห้องเย็น คลังสินค้า ถังเก็บสารเคมีเหลว จากผู้ประกอบการชั้นนำรวม 4 โครงการ รวมมูลค่าไม่เกิน 4,300 ล้านบาท พร้อมผู้เช่าที่มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศ ดันขนาดสินทรัพย์โตก้าวกระโดด คาดช่วยเพิ่มผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ในระดับกว่า 7.9%

นายอมร จุฬาลักษณานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอไอเอ็ม รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด ผู้จัดการกองทรัสต์อิสระรายแรกในประเทศไทย ในฐานะผู้ก่อตั้งทรัสต์และผู้จัดการกองทรัสต์ เอไอเอ็ม อินดัสเทรียล โกรท (AIMIRT) เปิดเผยว่า หลังจากกองทรัสต์ AIMIRT ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลเป็นครั้งที่ 3 ในรอบปีนี้ให้แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ที่อัตรา 0.1902 บาทต่อหน่วย ซึ่งเมื่อรวมกับอีก 2 ครั้งก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ทรัสต์ AIMIRT อนุมัติจ่ายเงินปันผลไปแล้วรวมทั้งสิ้น 0.5689 บาทต่อหน่วยนับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อช่วงต้นปีนี้ คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 7.6% ต่อปี ซึ่งถือว่ามีความโดดเด่นเมื่อเทียบกับกองทรัสต์ที่ลงทุนในทรัพย์สินกลุ่มอุตสาหกรรม และสะท้อนถึงผลการดำเนินงานของกองทรัสต์ที่แข็งแกร่งจากการเข้าลงทุนในทรัพย์สินที่มีคุณภาพตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ

ทรัพย์สินที่ลงทุนในปัจจุบันทั้งหมดมีอัตราการเช่าพื้นที่เต็ม 100% ล่าสุดจึงเตรียมจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหน่วยทรัสต์ในวันที่ 29 พ.ย.2561 เพื่อขออนุมัติการลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ในอสังหาริมทรัพย์ รวมมูลค่าไม่เกิน 4,300 ล้านบาท

การขออนุมัติลงทุนเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นไปตามแผนงานของบริษัทฯ ที่ต้องการผลักดันขนาดทรัพย์สินและรายได้ของทรัสต์ AIMIRT ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายเข้าลงทุนเพิ่มเติมในอสังหาริมทรัพย์ในภาคอุตสาหกรรม (Industrial) ที่มีศักยภาพและตั้งอยู่ในทำเลที่ดีเป็นที่ต้องการของผู้เช่า ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเพิ่มขนาดทรัพย์สินของกองทรัสต์เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 4,300 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 3 เท่า จากการเข้าลงทุนครั้งแรกที่มีขนาดทรัพย์สินทั้งสิ้น 2,140 ล้านบาท

นายจรัสฤทธิ์ อรรถเวทยวรวุฒิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอไอเอ็ม รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า ทรัพย์สินที่จะเข้าลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 มีจำนวนทั้งสิ้น 4 โครงการ ได้แก่ 1. ห้องเย็นในโครงการเจดับเบิ้ลยูดี แปซิฟิก (ส่วนขยายเพิ่มเติม) ของกลุ่มบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) 2. คลังสินค้าโครงการ TIP 8 ของบริษัท ทิพย์โฮลดิ้ง จำกัด 3. ถังเก็บสารเคมีเหลวและคลังสินค้าโครงการ SCC ของบริษัท สยามเฆมี จำกัด (มหาชน) และ คลังสินค้าโครงการสวนอุตสาหกรรมบางกะดี ของบริษัท สวนอุตสาหกรรมบางกะดี จำกัด

สำหรับทรัพย์สินทั้งหมดล้วนมีจุดเด่นและมีมาตรฐานการก่อสร้างระดับเวิลด์คลาส อีกทั้งยังตั้งอยู่ในทำเลที่เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ จึงมีกลุ่มลูกค้าที่เป็นบริษัทชั้นนำในไทยและต่างประเทศเข้ามาใช้บริการเช่าพื้นที่อย่างต่อเนื่อง อาทิ กลุ่มบริษัทไทยออยล์ เอสโซ่ และโตชิบา เป็นต้น ซึ่งผู้เช่าเหล่านี้ล้วนเป็นผู้นำอุตสาหกรรมและมีเสถียรภาพทางการเงินที่มั่นคง นอกจากนี้ทรัพย์สินที่จะเข้าลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ยังมีการกระจายตัวอยู่ในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่หลากหลาย ทั้งภาคการผลิต อาหาร ยารักษาโรค สินค้าอุปโภคบริโภค การก่อสร้าง รวมถึงการคมนาคม
และโลจิสติกส์ ช่วยลดการกระจุกตัวของรายได้จากอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง

ดังนั้น จึงมีความมั่นใจว่าการขออนุมัติลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินใหม่ครั้งนี้ จะส่งผลดีต่อการเพิ่มศักยภาพและขนาดทรัพย์สินของกองทรัสต์ AIMIRT ให้มั่นคงและมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น และผลักดันรายได้ขยายตัวจากการเข้าลงทุนเพิ่มเติมเพื่อสร้างการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง

“เรามั่นใจว่าหลังเข้าลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินใหม่ จะผลักดันผลการดำเนินงานของกองทรัสต์ให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพยิ่งขึ้นกว่าปัจจุบัน เนื่องจากเราได้คัดเลือกทรัพย์สินที่มีคุณภาพและมีศักยภาพ เพื่อประโยชน์ของกองทรัสต์และเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นให้แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ โดยคาดว่าอัตราผลตอบแทนจะสามารถปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับที่ 7.9% ได้” นายจรัสฤทธิ์ กล่าว

ทั้งนี้ สำหรับผลตอบแทนที่ 7.9% ต่อปี คำนวนจากประมาณการจ่ายประโยชน์ตอบแทนให้แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ในปีแรก และราคาปิดของหน่วยทรัสต์วันที่ 15 พ.ย.2561 ที่ 10.40 บาทต่อหน่วย

อ่านประกอบ

ทรัสต์ AIMIRT ผู้เช่าเต็มหนุนปันผล Q3 สูงสุดนับแต่เข้าตลาด