คปภ.ประกาศเบี้ยรถยนต์ EV สูงกว่ารถน้ำมัน 10%-15%

HoonSmart.com>>คปภ.เปิดเบี้ยประกันรถยนต์ไฟฟ้าสูงกว่ารถใช้น้ำมันหรือรถสันดาป 10 -15% ต้องระบุชื่อผู้ขับขี่ทุกคัน คุ้มครองความเสียหายแบตเตอรี่ที่เกิดจากอุบัติเหตุเท่านั้น ต้องใช้ทั้งระบบภายใน 1 มิ.ย.67 เตือนอย่าตัดราคาเหตุเสี่ยงสูง ด้านสมาคมประกันวินาศภัยไทย จัดชี้แจงแนวทางการปฏิบัติให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน สร้างความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ ลดการเกิดข้อพิพาท 

นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวว่า กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า (Battery Electric Vehicle: BEV)” ชั้น 1 จะมีราคาสูงกว่ารถที่ใช้น้ำมันหรือรถสันดาป 10-15% และต้องระบุชื่อผู้ขับขี่ทุกกรมธรรม์ เพราะแบตเตอรี่มีราคาสูง คิดเป็น 50% ของมูลค่ารถยนต์ โดยจะคุ้มครองแบตเตอรี่ที่ได้รับความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุเท่่านั้น จะไม่คุ้มครอง ความเสัยหายของซอฟต์แวร์ที่เกิดจากการถูกโจมตีผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ความเสื่อมราคาแบตเตอรี่ ระบบปฎิบัติการที่ใช้ควบคุมการทำงานของรถที่ไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ แบตเตอรี่ที่มีการดัดแปลงด้วยตัวเอง

“ในภูมิภาคนี้ยังไม่มีประเทศไหนกออกกรมธรรม์ประกันรถยนต์ไฟฟ้า เพราะยังรอดูข้อมูลความเสียหาย โดยเฉพาะเรื่องแบตเตอรี่ แต่ไทยเราออกมาแล้วเพื่อให้ประชาชนมีความคุ้มครอง และประเทศอื่นๆ อย่างเวียดนาม และมาเลเซีย ก็รอดูบ้านเป็นตัวอย่าง” นายชูฉัตร กล่าว

ทั้งนี้ จากการที่เพิ่งเริ่มรับประกันภัย เลขาธิการ คปภ. ขอร้องบริษัทประกันภัยอย่าตัดราคา ให้ใช้อัตราที่ทางคปภ.กำหนดมา เพราะความเสี่ยสูง จึงยังไม่มีนโยบายออกกธ. 2 พลัส 3 พลัส และยังไม่ออกประกันรถ EV มาตรฐานสำหรับกลุ่มรถ สาธารณะ, รถบรรทุก รถเพื่อการพาณิยช์ประเภทอื่นๆ ขอเวลาศึกษาความเสี่ยง ช่วงนี้แต่ละบริษัทพิจารณาเอง อิงจากราคาเบี้ยที่ใช้น้ำมันไปก่อน

นายวาสิต ล่ำซำ ประธานคณะกรรมการประกันภัยยานยนต์ สมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่า สมาคมฯ จึงได้จัดการประชุมชี้แจง “กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า (Battery Electric Vehicle: BEV)” แก่บริษัทประกันวินาศภัยทั้งระบบ เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันกับบริษัทสมาชิก และแนวทางการปฏิบัติด้านการรับประกันภัยและการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

รวมถึงภาพรวมโครงสร้างระบบฐานข้อมูลกลางด้านการประกันภัย (IBS) ของการประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าให้กับทุกภาคส่วนมีความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันและสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าและลดข้อพิพาทลงได้

“กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) นี้ มุ่งเน้นให้ความคุ้มครองและอัตราเบี้ยประกันภัยสอดคล้องกับความเสี่ยงและต้นทุนในการรับประกันภัยอันจะเป็นการแก้ไขปัญหา ลดความกังวล และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างยั่งยืน”นายวาสิต กล่าว

นายวาสิต กล่าวว่า “กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า (Battery Electric Vehicle: BEV)” เป็นกรมธรรม์ฉบับมาตรฐานที่ทางสํานักงาน คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ. ) กำหนดให้ใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป หากบริษัทประกันวินาศภัยไม่สามารถออกกรมธรรม์ประกันภัยตามคำสั่งนี้ได้ ให้ใช้กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์เดิมออกให้ผู้เอากันภัยไปก่อน ทั้งนี้ ต้องไม่เกินวันที่ 31 พฤษภาคม 2567 เพื่อให้บริการแก่ประชาชนที่หันมาซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ ปี 2566 ที่ผ่านมา ยอดการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าของไทยนั้นมีสถิติเติบโตสูงขึ้นจากปี 2565 ถึง 4 เท่าตัว อีกทั้งยังมีแนวโน้มขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับจำนวนการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย มีจำนวนทั้งสิ้น 100,219 คัน มีการเติบโตสูงขึ้นถึง 380% เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีเพียง 20,816 คันเท่านั้น

นอกจากนี้ ยังเป็นการสนับสนุนและดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับนโยบายและมาตรการของรัฐบาลในการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า โดยให้เงินอุดหนุนสูงสุด 1 แสนบาท แก่ผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า รถกระบะไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ระหว่างปี 2567-2570 อีกด้วย ซึ่งถือเป็นประเด็นหนึ่งที่มีความสำคัญในการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของคนไทยในช่วงเวลาที่ผ่านมา

ประกอบกับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้านั้นเกิดความกังวลในเรื่องการทำประกันภัยที่ยังคงมีประเด็นเรื่องเงื่อนไขความคุ้มครองต่อความเสียหายต่าง ๆ จากการใช้รถยนต์ไฟฟ้า อาทิ ความเสียหายที่เกิดจากแบตเตอรี่ ค่าซ่อม เป็นต้น

“กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าฉบับนี้เป็นการรับประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เท่านั้น ไม่รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าที่ดัดแปลงมาจากรถยนต์สันดาป เพื่อเป็นมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้เอาประกันภัย รวมถึงช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้า และช่วยลดข้อพิพาทต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นลงได้” นายวาสิต กล่าว