บลจ.ดาโอ ตั้งเป้า 3 ปี AUM แตะหมื่นลบ. มองหุ้นไทยปีนี้ 1,500-1,550 จุด

HoonSmart.com>> “บลจ.ดาโอ” ตั้งเป้า 3 ปีดันมูลค่าสินทรัพย์แตะ 1 หมื่นล้านบาท เตรียมออกกองทุนหุ้นอินเดียกลางเดือนก.พ.นี้ ส่วนหุ้นไทยปี 67 มองเป้าดัชนี 1,500-1,550 จุด ชูกลุ่มนิคมฯ-ท่องเที่ยว-อาหาร-การแพทย์ ด้าน “กองทุนตราสารหนี้” ยังน่าสนใจรับดอกเบี้ยลดลง แนะจัดพอร์ตลงทุน “หุ้น” 50% “ตราสารหนี้” 48-50% หากรับความเสี่ยงได้มาก เพิ่มลงทุนหุ้นต่างประเทศ มองหุ้นอินเดีย-ญี่ปุ่น-เวียดนามเด่น “หุ้นสหรัฐฯ” ยังแกร่ง

อิศรา พุฒตาลศรี

นายอิศรา พุฒตาลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ดาโอ จำกัด เปิดเผยว่า แผนงานในปี 2567 บริษัทเตรียมออกกองทุนรวมใหม่ๆ ในตลาดที่มองแนวโน้มยังเติบโตได้ดีและปัจจุบันยังไม่มีกองทุน โดยเตรียมออกกองทุนหุ้นอินเดียช่วงกลางเดือนก.พ.นี้ ถึงแม้ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นมามากแล้วก็ตาม แต่เชื่อว่าแนวโน้มเศรษฐกิจยังขยายตัวและกำไรบริษัทจดทะเบียนยังเติบโตได้ไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งกองทุนที่ออกจะเน้นหุ้นขนาดกลางและเล็ก แตกต่างจากในตลาดที่เน้นหุ้นทั่วไปและหุ้นขนาดใหญ่เป็นหลัก

นอกจากนี้ยังสนใจออกกองทุนตลาดหุ้นญี่ปุ่น จากอัตราเงินเฟ้อที่อาจปรับเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกับทั่วโลก ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ญี่ปุ่นเริ่มมีเงินเฟ้ออ่อนๆ ซึ่งส่งผลดีต่อธุรกิจ รวมทั้งศึกษากองทุนทางเลือก อย่าง Private Asset, Private Equity และ Private Debt ขณะเดียวกันกองทุนที่มีอยู่แล้วก็ยังตอบโจทย์การลงทุนได้

“ปีที่ผ่านมาธุรกิจกองทุนได้รับผลกระทบจากภาวะการลงทุนที่ยังไม่ฟื้นตัวกลับมาเต็มที่ จากความกังวลธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้ตลาดผันผวน นักลงทุนระมัดระวังการลงทุนต่อเนื่องจากปี 2565 ทำให้กองทุนหุ้นออกใหม่ค่อนข้างน้อย ขณะเดียวกันก็ขายล็อกกำไรในตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวขึ้น โดยนักลงทุนหันไปลงทุนกองทุนตราสารหนี้มากขึ้น โดยเฉพาะเทอมฟันด์ที่ล็อกผลตอบแทนแน่นอน รวมถึงประเด็นที่กรมสรรพากรออกประกาศเก็บภาษีเงินได้ของเงินลงทุนต่างประเทศที่กลับเข้าไทยในวันที่ 1 ม.ค.2567 ซึ่งกระทบกองทุนส่วนบุคคล ทำให้นักลงทุนขายและโยกกลับมาลงทุนในกองทุนรวมที่บริษัทตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับลูกค้ากองทุนส่วนบุคคลที่ชอบสไตล์การบริหารและผลตอบแทนที่พอใจ”นายอิศรา กล่าว

สำหรับภาพรวม AUM ในปี 2566 ทรงตัวอยู่แถว 5,600 ล้านบาท และวางแผนการเติบโตแตะระดับ 1 หมื่นล้านบาท ภายใน 3 ปี หรือเติบโตปีละ 20%

นิสารัตน์ ชมภูพงษ์

ด้านน.ส.นิสารัตน์ ชมภูพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารจัดการลงทุน บลจ.ดาโอ กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนในปี 2567 มองตลาดหุ้นที่น่าสนใจยังเป็นหุ้นต่างประเทศ ได้แก่ หุ้นสหรัฐฯ ซึ่งกำไรยังเติบโตได้ดี หุ้นอินเดีย หุ้นญี่ปุ่นและหุ้นเวียดนาม ซึ่งได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตเช่นเดียวกับอินเดีย ส่วนธีมการลงทุนที่น่าสนใจ ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี หลังจากอัตราดอกเบี้ยผ่านจุดพีคไปแล้วและได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง ซึ่งมองหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังไม่อยู่ในภาวะฟองสบู่ เนื่องจากยังมีการเติบโตของกำไร แนะนำกองทุนกองทุนเปิด ดาโอ โกลบอล เทคโนโลยี (DAOL-GTECH)นอกจากนี้ธีมเฮลธ์แคร์ ซึ่งปีที่ผ่านมาผลตอบแทนติดลบ จากช่วงโควิดที่ฐานสูง ทำให้นักลงทุนโยกเงินจากกลุ่มเฮลธ์แคร์ไปลงทุนกลุ่มอื่น

ส่วนตราสารหนี้มองยังเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนตราสารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้ประโยชน์จากดอกเบี้นขาลง โดยกองทุนในประเทศแนะนำ กองทุนเปิด ดาโอ มันนี่ มาร์เก็ต ชนิดผู้ลงทุนทั่วไป (DAOL-MONEY-R) หากชอบความผันผวนสูงขึ้นแนะนำกองทุนต่างประเทศ ได้แก่ กองทุนเปิด ดาโอ โทเทิล รีเทิร์น บอนด์ (DAOL-TRBOND-A) แต่หากไม่ชอบความผันผนวนมาก แนะนำกองทุนเปิด ดาโอ อัลฟ่า บอนด์ (DAOL-ALPHABONDS)ที่คุมความผันผวนไม่เกิน 5% อีกทั้งกลยุทธ์ยังมีความยืดหยุ่นในการปรับ Duration และมีการบริหารความเสี่ยงค่าเงิน รวมถึงกองทุนเปิด ดาโอ เอฟเอ็กซ์ อัลฟ่า ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (DAOL-FXALPHA-UI) สร้างโอกาสรับผลตอบแทนจากค่าเงินหลัก 14 สกุลเงินทั่วโลก ด้วยกลยุทธ์ Long-Short Strategy

“เรามองดอกเบี้ยสหรัฐฯ ไม่น่าจะลงเร็ว คาดว่าเดือนพ.ค.-มิ.ย.อาจเริ่มเห็นและคาดว่าดอกเบี้ยจะลง 3-4 ครั้ง ซึ่งหากเฟดมีการปรับลดดอกเบี้ยลงครั้งแรกอาจทำให้ดอกเบี้ยไทยลงตามได้ 0.25% ส่วนประเด็นหุ้นกู้ Default มองเป็นรายตัวมากกว่า ขณะที่บริษัทขนาดใหญ่น่าจะผ่านไปได้”น.ส.นิสารัตน์

สำหรับตลาดหุ้นไทยในปีนี้มองเป้าหมายดัชนีที่ระดับ 1,500-1,550 จุด คาดการณ์ EPS ที่ 90 และมองจุดต่ำสุดที่ 1,200 จุด ซึ่งเป็นเรื่องความเชื่อมั่นของตลาด จากกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ออกมาของกลุ่มธนาคารไม่ค่อยดี รวมถึงบริษัทปูนซีเมนต์ จึงมีโอกาสที่กำไรบจ.จะถูกปรับลดประมาณการลงมา หลังจากประกาศงบจบในเดือนก.พ.นี้ จึงมองครึ่ง
ปีหลังน่าจะดีขึ้นสำหรับตลาดหุ้นไทย

“ภาพรวมครึ่งปีแรกนโยบายของรัฐบาลยังไม่ได้หนุนตลาด ซึ่ง E-Receive ก็รับรู้ข่าวไปแล้วและจากสถิติผลักดัน GDP เติบโตได้น้อยมากเพียง 0.1-0.2% เท่านั้น ขณะที่การเบิกจ่ายภาครัฐล่าช้า ต้องรอเดือนพ.ค. รวมถึงความกังวลดิจิทัล วอลเล็ต ซึ่งมองจะมี Downside มากกว่า หากดิจิทัล วอลเล็ตยังมีตลาดก็จะเป็นไปตามคาด แต่ตลาดก็จะกลับมากังวลสถานการณ์การเงินของประเทศที่อาจมีหนี้สูง หากรัฐปรับลดขนาดวงเงินลงมาตลาดอาจตอบรับ แต่หากไม่มีโครงการก็อาจทำให้ตลาดผิดหวังบ้างได้”น.ส.นิสารัตน์ กล่าง

นอกจากนี้มองความเสี่ยง หากการเมืองถ้ามีการเปลี่ยนแปลง ไม่นิ่งจะเป็นความเสี่ยง การเบิกจ่ายต่างๆ ที่จะเข้ามาไตรมาส 2 อาจมีปัญหาได้ และสถานกาณ์ด้านเครดิตที่เป็นปัญหาของไทย หากมีการ Default บริษัทขนาดใหญ่อาจฉุดความเชื่อมั่นได้ รวมถึงความเสี่ยงจากการปรับลดอันดับเครดิจของประเทศหากไทยมีการกู้ยืมเงินที่สูง สิ่งเหล่านี้มีโอกาสกระทบตลาดหุ้น

สำหรับกลุ่มที่แนะนำ ได้แก่ กลุ่มนิคมอุสาหกรรม ได้ประโยชน์จาก FDI ไหลเข้าไทยต่อเนื่องและนโยบายประเทศที่สนับสนุนธุรกิจ EV, กลุ่มท่องเที่ยว คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวจะแตะ 35 ล้านคนได้ในปีนี้, กลุ่มอาหาร โดยเฉพาะบริษัทขนาดกลางถึงเล็กมองแนวโน้มยังมีการเติบโตได้ และกลุ่มการแพทย์ ได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวกลับเข้าไทยและการแพทย์ที่เกี่ยวกับการรักษาผู้ที่มีบุตรยาก รับปีมังกรทอง

ส่วนพอร์ตการลงทุนที่แนะนำสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ไม่มาก แบ่งสัดส่วนลงทุนในหุ้น 48-50% และตราสารหนี้ 50% ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มากขึ้น อาจเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นต่างประเทศเพิ่มขึ้น