HoonSmart.com>>บลจ.อเบอร์ดีน มองหุ้นไทยครึ่งปีแรกผันผวน รอความชัดเจนนโยบายทรัมป์ ชี้ระดับราคาน่าสนใจ ดัชนี Downside จำกัด รอปัจจัยหนุนโอกาสแตะ 1,450 จุด ปีนี้ แนะกระจายลงทุน “หุ้นอินเดีย” ชูเติบโตโดดเด่นระยะกลาง-ระยะยาว ด้านภาษีสหรัฐฯ กระทบน้อย ด้าน “ตราสารหนี้ Investment Grade” ผลตอบแทนน่าสนใจ รับมือตลาดผันผวน เฟดลดดอกเบี้ยน้อยลงกว่าคาด

นายณัฐนนท์ อรัณยกานนท์ Fund Manager, Asian Equities บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยครึ่งปีแรกยังมีความผันผวนจากนโยบายทรัมป์ยังไม่ชัดเจนโดยเฉพาะการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ซึ่งกดดันภาคการส่งออกของไทย รวมทั้งตลาดยังรอมาตรการจากรัฐบาลสนับสนุน อย่างไรก็ตามหุ้นไทยปรับตัวลงมาแถว 1,250 จุด ทำให้ Downside Risk ค่อนข้างจำกัด ปัจจุบัน P/E ที่ 12-13 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีอยู่ที่ 15-16 เท่า และส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลและหุ้น (Earning Yield Gap) ปัจจุบันใกล้เคียงกับช่วงวิกฤติ COVID-19 แล้ว จึงมองระดับราคาน่าสนใจ หากมีปัจจัยสนับสนุนดัชนีพร้อมปรับตัวขึ้นได้
“ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยเผชิญกับวิกฤติศรัทธาด้านความเชื่อมั่น ขณะที่เศรษฐกิจประเทศ GDP ไม่ได้เติบโตหวือหวา ความเชื่อมั่นธุรกิจไทยลดลงจากส่วนใหญ่เป็น Old Economy ไม่ได้มีกลุ่มเทคโนโลยี รวมทั้งความไม่แน่นอนจากนโยบายทรัมป์ก็เป็นปัจจัยหลักทำให้หุ้นไทยปรับตัวลง ผสมแรงขายจากหุ้นบิ๊กแคปหลายตัวราคาร่วงหนัก สะท้อนความเชื่อมั่น P/E จึงปรับลดลงมาก แต่ปัจจุบันแรงขายหุ้นขนาดใหญ่อย่าง DELTA ซึ่งมีผลต่อตลาดหุ้นมาก แรงขายเริ่มชะลอลงแล้ว ส่วนนักลงทุนต่างชาติปัจจุบันถือครองหุ้นไทยในระดับต่ำ หากกำไรบริษัทจดทะเบียนและ GDP เติบโต ฟันด์โฟลว์ก็อาจกลับเข้ามาลงทุน”นายณัฐนนท์ กล่าว
อย่างไรก็ตามมอง Base Case ดัชนีมีโอกาสขึ้นไปที่ระดับ 1,450 จุด มีปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ซึ่งบลจ.อเบอร์ดีนคาดการณ์ GDP ปี 2568 เติบโต 2.8% และกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโต 5-8% หรือประมาณ 90-93 บาทต่อหุ้น รวมถึงนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) คาดว่าจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงในปีนี้อย่างน้อย 0.25% ขณะที่คุณภาพสินทรัพย์ของกลุ่มธนาคารดีขึ้น ความกังวลปัญหาหนี้ NPL เริ่มลดลง ส่วนกลุ่มไฟแนนซ์ก็เก็บหนี้ได้ดีขึ้น
ขณะเดียวกันบริษัทจดทะเบียนเรียกความเชื่อมั่นด้วยการซื้อหุ้นคืน ซึ่งปีนี้เริ่มเห็นหลายบริษัทซื้อหุ้นคืนจำนวนมากถือเป็นสัญญาณที่ดี และมีการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้น ส่วนแรงขายหุ้นจากกองทุน LTF เริ่มชะลอตัวลงจากช่วงเดือนม.ค.ที่ขายออกมาก อย่างไรก็ตามช่วง 3 ปีสุดท้ายของ LTF ดัชนีอยู่แถว 1,500-1,600 จุด จึงยังต้องรอดูว่าหากดัชนีปรับตัวขึ้นแถว 1,400-1,500 จุดนักลงทุนอาจขาย LTF อีกหรือไม่
ส่วนเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติที่เริ่มเห็นการกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้นยังไม่ไม่แน่ใจว่าเข้ามาเพื่อเอาปันผลหรือไม่ จึงยังต้องติดตาม
สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ กลุ่ม Wellness , Green energy, Digital innovation, Global Supply Chain, Food and Travel
“การลงทุนหุ้นไทยไม่ใช่การหว่านแห ดูดัชนีอย่างเดียวอาจได้กำไรค่อนข้างลำบาก ต้องเลือกกลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโต อย่างหุ้นกลุ่มพลังงาน หุ้นปิโตรเคมี หุ้นวัฎจักร สินค้าโภคภัณฑ์ ราคาหุ้นถูกแต่แนวโน้มยังต้องเจอความผันผวนไปอีก 2-3 ปี อย่างไรก็ตามการจัดพอร์ตลงทุนต้องกระจายความเสี่ยงมากขึ้น ต้องมั่นใจในบริษัทที่สามารถอยู่รอดได้ งบดุลและกระแสเงินแข็งแกร่ง รับมือนโยบายทรัมป์ได้”นายณัฐนนท์ กล่าว
นอกจากนี้มองตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย อย่างตลาดหุ้นอินเดียน่าสนใจในช่วงตลาดปรับตัวลงมา เป็นจังหวะเข้าซื้อ เพื่อรับกับการเติบโตในระยะยาว โดยมองแนวโน้มเศรษฐกิจอินเดียยังเติบโตแข็งแกร่งคาด GDP ใน 3 ปีข้างหน้ายังเติบโต 6% แม้จะลดลงจากที่ผ่านมาเติบโตเฉลี่ย 7-8% ก็ตาม อีกทั้งอินเดียไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ เนื่องจากปัจจัยภายในประเทศยังเป็นตัวเคลื่อนหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ด้านนายพงค์ธาริน ทรัพยานนท์ Head of Fixed income and Asset Allocation บลจ.อเบอร์ดีน เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นผันผวนจากนโยบายทรัมป์ที่ยังมีความไม่แนนอนในนโยบายต่างๆ ตลาดจึงจับตาการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้า และนโยบายอื่นๆ เช่น การลดภาษีนิติบุคคล เพื่อเพิ่มการจับจ่ายในสหรัฐฯ มากขึ้น รวมถึงแนวทางการลดต้นทุนพลังงาน
ขณะเดียวกันนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาสทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นและธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณจะลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้งในปีนี้ ซึ่งส่งผลต่อการจัดพอร์ตลงทุนในปีนี้ ขณะที่ยุโรปคาดว่าจะปรับลดดอกเบี้ยเร็วและลดมาก ส่วนค่าเงินดอลลาร์แนวโน้มแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลอื่นในระยะยาว แม้ระยะสั้นอาจอ่อนค่าลงบ้าง
นายพงษ์ธารินทร์ กล่าวว่า บลจ.อเบอร์ดีน มีมุมมองต่อสินทรัพย์ต่างๆ ในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า เพื่อนำไปจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) กระจายการลงทุน สำหรับ “พันธบัตรรัฐบาลประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา” มีมุมมองเป็น Neutral เนื่องจากคาดว่าสหรัฐฯมีโอกาสไม่ลดดอกเบี้ยมากเท่าที่ตลาดคาด อีกทั้งความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจทรัมป์จะกระทบเงินเฟ้อมากน้อยแค่ไหน
ส่วน “ตราสารหนี้” ทั่วโลกประเภท Investment Grade มีอันดับเครดิตอยู่ในระดับลงทุนได้ ยังมีมุมมอง “บวก” คาดว่าผลตอบแทนยังสูงน่าสนใจและให้ผลตอบแทนดีกว่าพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งรับมือความผันผวนได้ แต่ต้องเน้นที่อายุไม่ยาว รวมถึงตราสารหนี้ประเภทไฮยิลด์บอนด์ ซึ่งเศรษฐกิจยังเติบโต บริษัทต่างยังมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยได้ดี แนะนำกองทุน abrdn Global Enhanced Fixed Income Fund (ABGFIX-A)
สำหรับ “ตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว” มีมุมมอง “บวก” ยังน่าสนใจในเรื่องของผลตอบแทน โดยเฉพาะสหรัฐฯ มีรายได้แข็งแกร่ง ปัจจัยหนุนด้านกฎระเบียบและภาษี และปัจจัยพื้นฐานด้านเทคโนโลยี ขณะที่ยุโรปได้รับการสนับสนุนจากการประเมินมูลค่า ซึ่งมุมมองของบลจ.ยังสนใจหุ้นขนาดเล็กและกลางในสหรัฐฯ เนื่องจากการลดหย่อนภาษี, การควบรวมและเข้าซื้อกิจการเร่งตัวขึ้นในหุ้นกลุ่มดังกล่าว กองทุนแนะนำได้แก่ abrdn American Growth – Smaller Companies Fund – A (ABAGS), abrdn Global Innovation Equity Fund (ABINNO) เป็นต้น
ด้าน “ตลาดหุ้นเกิดใหม่” ยังเป็นเป็นภูมิภาคที่น่าสนใจ เศรษฐกิจเติบโตได้ดี ปัจจุบันราคาหุ้นอยู่ระดับน่าสนใจ แต่ต้องเลือกเป็นรายประเทศ โดยมองหุ้นอินเดียน่าสนใจ แนะนำ กองทุน abrdn India Growth Fund (ABIG)
