“บลจ.วรรณ” มองหุ้นไทยไม่หลุด 1,300 จุด หวังรัฐเร่งกระตุ้นศก.ดึงความเชื่อมั่น

HoonSmart.com>> “บลจ.วรรณ” มองหุ้นไทยแนวรับสำคัญ 1,346 จุด ตลาดขาดปัจจัยดึงดูดนักลงทุน หวังรัฐเร่งคลอดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงความเชื่อมั่นหนุนกำไรบริษัทจดทะเบียนดีขึ้น แนะจัดพอร์ตหุ้น 50% รับดอกเบี้ยปรับตัวลดลง กระจายลงทุนหุ้นไทย-หุ้นเทค AI-เอเชีย-ญี่ปุ่น-เวียดนาม พร้อมให้น้ำหนักตราสารหนี้ สินทรัพย์ทางเลือกผ่าน “กองทุนอสังหาฯ อินฟราฟันด์ กอง Life Settlement

พจน์ หะริณสุต

นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปี 2567 นี้ มองว่าน่าจะดีกว่าปีก่อน หลังผ่านจุดสูงสุดของดอกเบี้ยสหรัฐและไทยมาแล้ว โดยคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับอัตราดอกเบี้ยลง 3-4 ครั้งในปีนี้ ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยคาดปรับลดลง 1 ครั้งในไตรมาส 3-4 นี้ และอาจลดลงมากกว่านี้หากเฟดลดดอกเบี้ยมากกว่าคาด จึงมองตลาดหุ้นน่าสนใจ ขณะที่คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปีนี้เติบโต 1.8-3.1% ซึ่งยังคาดหวังรัฐบาลจะออกมาตรการเพิ่มเติมและมีการจับจ่ายใช้สอยของภาครัฐมากกว่าภาคเอกชน เชื่อว่าจะขับเคลื่อนประเทศได้ผ่านการลงทุนของภาครัฐ

สำหรับความเสี่ยงต่อการลงทุนมองเป็นเรื่องของสงคราม ภูมิรัฐศาสตร์ในหลายประเทศเป็นปัจจัยสำคัญ ซึ่งหวังว่าสถานการณ์จะไม่ลุกลามไปมากกว่านี้ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงที่ยังพอรับได้ ส่วนความเสี่ยงด้านเสถียรภาพของรัฐบาลและนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ปีนี้ถ้าดอกเบี้ยขาลงความเสี่ยงอื่นๆ ก็ไม่น่ามี

“หุ้นไทยเหมือนคนป่วย พอได้ยาหุ้นก็ขึ้น วันก่อนมีประเด็นทางการเมือง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หลังศาลตัดสินไม่ผิดกรณีถือหุ้นไอทีวี หุ้นก็ปรับตัวขึ้น 20 จุดและวันต่อมาหุ้นก็ลง จึงมองตลาดต้องมีการกระตุ้นอย่างชัดเจน”นายพจน์ กล่าว

นอกจากนี้มองการขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติยังเป็นปัจจัยกดดันตลาด ซึ่งในช่วง 6 ปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 6 แสนล้านบาทและ 10 ปี ขาย 9 แสนล้านบาท ขณะที่ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันก็ยังขายสุทธิ ซึ่งมองหุ้นไทยและเวียดนามเป็นตลาดที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นออกมาก หากมีความเชื่อมั่นในประเทศไทย ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนดีขึ้น จากปัจจุบันถูกปรับ EPS ลงมาจาก 102 บาท/หุ้น ลงเหลือ 97 บาท/หุ้น แต่เมื่อไรกำไรบจ.ดีขึ้น มีนโยบายออกมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอย่างชัดเจนและการท่องเที่ยวเฟื้องฟู ซึ่งปัจจุบันนักท่องเที่ยวจีนก็เริ่มกลับมาเที่ยวไทย หากได้ปัจจัยเหล่านี้หุ้นไทยก็น่าจะยืน 1,300 จุดได้

นายพจน์ กล่าวว่า หุ้นไทยมีแนวรับสำคัญที่ 1,346 จุด ส่วนกรอบบน จากเดิมมองเป้าหมายดัชนีที่ 1,600 กว่าจุด ตอนนี้ปรับลดลงเหลือ 1,580 จุด หลังจากปรับคาดการณ์กำไรบจ.ลงมา กลุ่มที่ยังน่าสนใจ ได้แก่หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศ หากมีนักท่องเที่ยวกลับมาและดอกเบี้ยลดลง สินค้าก็ถูกลง

ส่วนการเมืองไทยมีความเสี่ยงเรื่องของดิจิทัลวอลเล็ตที่พยายามผลักดัน หากไม่เกิดก็จะมีทั้งข้อดีและไม่ดี ซึ่งข้อดีทำให้ไทยไม่ต้องเป็นหนี้เยอะ โอกาสถูกดาวน์เกรดก็ลดลง การจับจ่ายใช้สอยหากใช้ดิจิทัลวอลเล็กตแจกเนไม่ได้ยั่งยืน คิดว่าหากรัฐบาลสามารถทำเรื่องเบิกจ่ายภาครัฐจะช่วยให้มีเสถียรภาพได้ดีกว่า ส่วนประเด็นศาลที่จะพิจารณาเรื่องยุบพรรคก้าวไกลหรือไม่ในวันที่ 31 ม.ค.นี้ มองว่า ขึ้นกับอยู่ผลการตัดสิน แต่มองว่าปัจจุบันการเมืองมีเสถียรภาพพอสมควร มีเสียงข้างมากในสภา

“มองการประท้วงไม่ได้มีผลต่อตลาดหุ้นมากเท่ากับประเด็นเรื่องของเศรษฐกิจและฟันด์โฟลว์ ซึ่งคงต้องจับตาต่างประเทศให้ดี แต่เชื่อว่าระดับ 1,300 จุดน่าจะยืนอยู่”นายพจน์ กล่าว

สำหรับพอร์ตการลงทุนในปีนี้แนะนำจัดสรรเงินลงทุนในหุ้นสัดส่วนประมาณ 50% แบ่งเป็นหุ้นไทย 10% หุ้นเเทคและ AI 10% หุ้นเอเชีย ญี่ปุ่น เวียดนามและ 1 ใน 3 ลงทุนตราสารหนี้คุณภาพดีหรือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ,ฝากเงินต่างประเทศ ที่เหลือเป็นสินทรัพย์ทางเลือก ประมาณ 10-15% เช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งหลายกองราคาปรับตัวลงมาถึง 30% ขณะที่ดอกเบี้ยผ่านจุดสูงสุดมาแล้วก็เป็นจังหวะเข้าลงทุนโอกาสรับผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงขึ้น กองทุนอสังหาริมทรัพย์มีอัตราผลตอบแทน 8% และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานอยู่ที่ 9% ถือว่าน่าสนใจ รวมถึงกองทุน Life Settlement ของบลจ.วรรณ ที่ลงทุนในกรมธรรม์ประกันชีวิตในตลาดรองของสหรัฐฯ (Life Settlement) ผลตอบแทนประมาณ 8-10% ต่อปี

นายพจน์ กล่าวว่า ประเด็นหุ้นกู้ที่เกิดการผิดนัดชำระหนี้ (Default) หรือล้มละลายมีสัดส่วนไม่ถึง 1% ของตราสารหนี้ที่ออกทั้งหมด และส่วนใหญ่ที่ Default เป็นไฮยีลด์บอนด์ ซึ่งตอนนี้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นคือจะมีหุ้นกู้ที่ Default ผิดนัดชำระหนี้กับหุ้นกู้ที่ Delay หรือที่เลื่อนระยะเวลาจ่ายคืนหนี้หุ้นกู้ จึงมองหุ้นกู้ที่ต้องระวังคือหุ้นกู้ที่ Delay to Default ส่วนไฮยีลด์ในต่างประเทศยังสามารถลงทุนได้ จากมุมมองเศรษฐกิจโลกจะเติบโตแบบ Soft Landing มากกว่าจะหดตัวรุนแรง (Hard Landing) หุ้นสหรัฐฯ ดัชนีดาวโจนส์และ S&P500 ยังทำจุดสูงสุดใหม่ได้ ผลประกอบการของบริษัทยังดี ซึ่งมองประเทศที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด คือ จีน ที่ราคาหุ้นยังไม่ขึ้นเลยความกังวลเรื่องแบงก์และอสังหาริมทรัพย์ที่จะเกิดผลกระทบตแบบ domino effect หรือไม่ มองหุ้นสหรัฐฯดีกว่าจีน