ดาวโจนส์ปิดบวก 71 จุด นักลงทุนย่อยรายงานประชุมเฟด

HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นสหรัฐฯ 3 ดัชนีหลักปิดบวก ดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 71 จุด ด้าน S&P 500 ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง รายงานการประชุมนโยบายการเงินของเฟด จะดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวัง กังวลเงินเฟ้อจากผลกระทบขึ้นภาษีของทรัมป์ ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” เพิ่มขึ้น ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดลบ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 19กุมภาพันธ์ 2568 ปิดที่ 44,627.59 จุด เพิ่มขึ้น 71.25 จุด หรือ +0.16% แต่ S&P 500 ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งหนึ่ง แม้รายงานการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะบ่งชี้ถึงการดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวังต่อเนื่องและประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์วางแผนใช้มาตรการภาษีศุลกากร

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 6,144.15 จุด เพิ่มขึ้น 14.57 จุด, +0.24%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 20,056.25 จุด เพิ่มขึ้น 14.99 จุด, +0.07%

รายงานการประชุมนโยบายของเฟดในวันที่ 28-29 มกราคม สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากข้อเสนอนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะภาษีศุลกากร ต่อความพยายามของเฟดในการลดอัตราเงินเฟ้อให้เข้าสู่เป้าหมาย 2%

รายงานการประชุมเผยให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่สนับสนุนการคงนโยบายในระดับที่เข้มงวด ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงมีอยู่

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีแตะจุดต่ำสุดของวันที่ 4.53% เนื่องจากรายงานการประชุมย้ำว่าเฟดอาจดำเนินการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกในปลายปีนี้

เดวิด โรกัล ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอของ BlackRock ของ BlackRock Total Return Fund กล่าวว่าการที่ตลาดยังมีเสถียรภาพ เพราะนักลงทุนเชื่อว่าการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของเฟด มีแนวโน้มที่จะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยมากกว่าการขึ้นดอกเบี้ย

ลิซ มิลเลอร์ ประธานของ Summit Place Financial Advisors กล่าวว่า ตลาดกำลังย่อยรายงานการประชุมของ FOMC และตระหนักว่าเจ้าหน้าที่เฟดไม่มีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับนโยบายการคลังในอนาคตมากไปกว่านักลงทุนรายอื่นๆ ซึ่งก็มั่นใจว่ามีความมุ่งมั่นต่อเสถียรภาพ แต่ตลาดแสดงให้เห็นถึงการไม่ตอบสนอง โดยนักลงทุนมุ่งไปที่การเติบโตของกำไร แต่ยังคงรออย่างระมัดระวังเพื่อดูว่านโยบายจะเป็นอย่างไรในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

ตามรายงานของ FedWatch ของ Chicago Mercantile Exchange (CME) สะท้อนให้เห็นว่าตลาดมองถึงความเป็นไปได้กว่า 50% ที่เฟดจะหยุดการปรับอัตราดอกเบี้ยหรือปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงหนึ่งครั้งในปีนี้ ขณะที่ Fed Fund Futures สะท้อนถึงโอกาส 17.1% ที่เฟด จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิมในปีนี้ และมีความเป็นไปได้ 36.2% ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียว และความน่าจะเป็นของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสองครั้งคือ 30.4%

ขณะเดียวกันการปรับนโยบายการค้าอย่างรวดเร็วของประธานาธิบดีทรัมป์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับนักลงทุนที่รอการประเมินผลกระทบของภาษี

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เผยแนวคิดที่จะเก็บภาษีรถยนต์ ชิป และยานำเข้า 25% แต่ไม่ได้ระบุว่าภาษีจะเป็นแบบกำหนดเป้าหมายหรือแบบกว้างๆ แต่บอกว่าสามารถบังคับใช้ได้โดยเร็วที่สุดในวันที่ 2 เมษายน

หุ้น Microsoft เพิ่มขึ้น 1.3% และนำการปรับขึ้นของกลุ่มเทคโนโลยี หลังเปิดตัวชิปประมวลผลควอนตัมคอมพิวเตอร์ตัวแรก หุ้นTesla เพิ่มขึ้นเกือบ 2% หุ้น Analog Devices พุ่งขึ้นเกือบ 10% หลังจากประกาศผลประกอบการรายไตรมาสดีกว่าที่คาด

หุ้น Apple เพิ่มขึ้น 0.2% หลังจากประกาศเปิดตัว iPhone 16e ซึ่งเป็น iPhone ราคาประหยัด

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ ได้แก่ การเริ่มต้นสร้างบ้านจากกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งลดลง 9.8% มาที่ 1.36 ล้านยูนิตในเดือนมกราคม และต่ำกว่า 1.39 ล้านยูนิต ที่นักวิเคราะห์คาด

ตลาดยุโรปปิดลบ โดยดัชนี STOXX ลดลงภายในวันเดียวมากที่สุดนับตั้งแต่ต้นปีนี้ เนื่องจากมองว่าความเสียหายที่เกี่ยวกับสงครามการค้าจะมากขึ้นหลังจากการประกาศแผนภาษีล่าสุดของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์

ดัชนี STOXX 600 ลดลง 0.9% โดยตลาดหุ้นในเยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี และสเปน ลดลงระหว่าง 0.5% ถึง 1.8%
ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 552.10 จุด ลดลง 5.07 จุด, -0.91%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,712.53 จุด ลดลง 54.20 จุด, -0.62%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,110.54 จุด ลดลง 96.02 จุด, -1.17%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 22,433.63 จุด ลดลง 410.87 จุด, -1.80%

ทรัมป์กล่าวว่าเขาตั้งใจที่จะเก็บภาษีประมาณ 25% สำหรับยานยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ และเภสัชภัณฑ์ที่นำเข้ามาในสหรัฐฯ

แอ็กเซล รูดอล์ฟ นักวิเคราะห์ทางเทคนิคอาวุโสของ IG Group กล่าวว่า สหภาพยุโรปจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาใจโดนัลด์ ทรัมป์ ดังนั้น อาจจะลดภาษีปัจจุบันบางส่วนสำหรับสินค้าบางประเภท เช่น รถยนต์ของสหรัฐฯ

หุ้นกลุ่มรถยนต์ที่อ่อนไหวต่อภาษีลดลง 1.5% ในขณะที่ดัชนีที่สะท้อนความกังวลของนักลงทุนเพิ่มขึ้น 1.25 จุดเป็น 17.4 ซึ่งสูงที่สุดในรอบสองสัปดาห์ กลุ่มสาธารณูปโภคซึ่งมักถูกมองว่าอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าเมื่อเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เพิ่มขึ้น 0.6%

อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรเยอรมนียังแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์อีกด้วย เนื่องจากนักลงทุนมองว่า การกู้ยืมของรัฐบาลอาจเพิ่มขึ้นเพื่อใช้เป็นทุนในการป้องกันประเทศ จากการที่สหรัฐฯ จำกัดบทบาทมากขึ้นในการป้องกันประเทศของยุโรป

นอกจากนี้ความเห็นในเชิงเข้มงวดจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรปก็ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของตลาดเช่นกัน

กลุ่มก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างนำการปรับลง จากการร่วงลงของ Heidelberg Materials และ Holcim หลังจากการปรับลดคำแนะนำจาก Morgan Stanley

หุ้น Philips ลดลง 11% หลังจากที่บริษัทเทคโนโลยีด้านการดูแลสุขภาพของเนเธอร์แลนด์รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้วต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาด

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนมีนาคม เพิ่มขึ้น 40 เซนต์ หรือ 0.56% ปิดที่ 72.25 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 20 เซนต์ หรือ 0.26% ปิดที่ 76.04 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 
 
———————————————————————————————————————————————————–