ดาวโจนส์ปิดลบ 165 จุด ค้าปลีกลดลงกว่าคาด

HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นสหรัฐลดลง ดัชนีดาวโจนส์ติดลบ 165.35 จุด  ข้อมูลค้าปลีกลดลง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีลดลงมาที่ 4.478% ด้านตลาดหุ้นยุโรป และราคาน้ำมันดิบลดลง

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 14 ก.พ. 2568 ปิดที่ 44,546.08 จุด ลดลง 165.35 จุด หรือ -0.37% นักลงทุนมุ่งความสนใจไปที่ข้อมูลค้าปลีกล่าสุดที่กลับมาอ่อนตัวลง หลังจากแข็งแกร่งมาสี่เดือนติดต่อกัน แม้สัปดาห์เต็มไปด้วยมาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 6,114.63 จุด ลดลง 0.44 จุด, -0.01%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 20,026.77 จุด เพิ่มขึ้น 81.13 จุด, -0.41%

อย่างไรก็ตามในรอบสัปดาห์นี้ ทั้งสามดัชนีหลักปิดในแดนบวก โดยดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 0.5%, ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น 1.5% และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 2.6% เนื่องจากความเชื่อมั่นดีขึ้น หลังจากที่นักลงทุนได้ความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับแผนภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์
นักลงทุนยังมองข้ามข้อมูลที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ซึ่งสะท้อนถึงยอดค้าปลีกที่ลดลง 0.9% ในเดือนมกราคม ซึ่งแย่กว่าที่ Dow Jones ประมาณการไว้ว่าจะลดลง 0.2% และเป็นข้อมูลปิดท้ายสัปดาห์หลังข้อมูลเงินเฟ้อสองชุดที่ร้อนแรงเกินคาด

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีลดลงมาที่ 4.478%

ในวันพฤหัสบดีหลังจากทรัมป์ลงนามในบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับการวางแผนจัดเก็บภาษีสินค้าจากประเทศที่เก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ แทนที่จะบังคับใช้ภาษีศุลกากรทันทีส่งผลให้ตลาดปรับตัวขึ้น

ขณะที่ข้อมูลเงินเฟ้อใหม่กลับกลายเป็นผลทางบวกมากกว่าที่คาดไว้ในตอนแรก โดยทั้งดัชนีราคาผู้บริโภคที่เผยแพร่เมื่อวันพุธและดัชนีราคาผู้ผลิตในเดือนมกราคมที่เผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดีที่สูงเกินคาด บ่งชี้ว่าดัชนีราคาค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคล( PCE) ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐให้ความสำคัญนั้นอาจจะอ่อนตัวลง

หุ้น Nvidia บวก 2.6% และหนุนดัชนีNasdaq หุ้น Apple บวก 1.3% แต่หุ้น Microsoft ลดลง 0.5% และหุ้น Amazon ลดลง 0.7%

ในวันจันทร์ตลาดจะปิดทำการเนื่องในวันประธานาธิบดีและจะกลับมาซื้อขายในวันอังคาร

ตลาดยุโรปปิดลบ เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขาย หลังจากปรับขึ้นสี่วันติดต่อกัน ขณะที่หุ้นสินค้าฟุ่มเฟือยปรับตัวสูงขึ้นหลังจากกำไรที่แข็งแกร่งของผู้ผลิตกระเป๋า Birkin Hermes

ดัชนี Stoxx 600 ตกลง 0.2% หลังจากปิดสี่วันก่อนหน้านี้ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

อย่างไรก็ตาม ยังคงเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 8 ติดต่อกัน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นรายสัปดาห์ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2024 โดยในแต่ละปี Stoxx เพิ่มขึ้นมากกว่า 8% ซึ่งทำได้ดีกว่าคู่เทียบในตลาดหุ้นสหรัฐ เนื่องจากนักลงทุนขานรับผลประกอบการของบริษัทในยุโรปที่ดีกว่าที่คาดไว้

ดัชนีกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยเพิ่มขึ้นสูงสุด โดยเพิ่มขึ้น 0.4% หุ้น Hermes กลุ่มสินค้าหรูในฝรั่งเศส เพิ่มขึ้น 0.8% หลังจากรายงานยอดขายในไตรมาสที่ 4 เพิ่มขึ้น 18% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่แข็งแกร่งของผู้ซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยราคาแพง

บริษัทสินค้าฟุ่มเฟือยอื่นๆ ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน เช่น LVMH เพิ่มขึ้น 0.8% และ Kering เพิ่มขึ้น 1.7% เนื่องจากนักลงทุนมองว่าอุปสงค์จากจีนอาจเพิ่มขึ้น หลังจากข้อมูลแสดงให้เห็นว่าการปล่อยสินเชื่อของธนาคารในเดือนมกราคมในประเทศพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์

กลุ่มเฮลธ์แคร์ลดลง 1.5% จากการลดลง 5.2%ของ Fresenius Medical Care หลังจาด Dialysis DaVita คู่เทียบในสหรัฐรายงานผลการดำเนินงานต่ำกว่าคาด

ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 552.41 จุด ลดลง 1.34 จุด, -0.24%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,732.46 จุด ลดลง 32.26 จุด, -0.37%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,178.54 จุด เพิ่มขึ้น 14.43 จุด, +0.18%,
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 22,513.42 จุด ลดลง 98.60 จุด, -0.44%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนมีนาคมลดลง 55 เซนต์ หรือ 0.77% ปิดที่ 70.74 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนเมษายน ลดลง 28 เซนต์ หรือ 0.37% ปิดที่ 74.74 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล