HoonSmart.com>>บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยให้แนวรับที่ 1,250 และ 1,235 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,300 และ 1,310 จุด ดัชนีเคลื่อนไหวตามตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/67 ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด นโยบายของ”ทรัมป์” และฟันด์โฟลว์ ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาทธนาคารกสิกรไทยคาดอยู่ที่ระดับ 33.00-34.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ หลังจากแตะระดับอ่อนค่าสุดรอบ 3 สัปดาห์ที่ 34.25 บาทเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยมองหุ้นสัปดาห์ถัดไป (17-21 ก.พ. 2568) ว่า ดัชนีหุ้นมีแนวรับที่ 1,250 และ 1,235 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,300 และ 1,310 จุด ตามลำดับ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2567 ของไทย ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ และทิศทางเงินทุนต่างชาติ
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้าน ยอดขายบ้านมือสอง เดือนม.ค. ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการเดือนก.พ. (เบื้องต้น) บันทึกการประชุมเฟด รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2567 ของญี่ปุ่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR เดือนก.พ. ของจีน ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนม.ค. ของญี่ปุ่น ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการเดือนก.พ. (เบื้องต้น) ของญี่ปุ่น ยูโรโซน อังกฤษ
ในวันศุกร์ที่ 14 ก.พ. 2568 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,272.10 จุด ลดลง 0.78% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 46,399.60 ล้านบาท ลดลง 4.98% ส่วนดัชนี mai ลดลง 0.72% มาปิดที่ระดับ 260.54 จุด
ดัชนีหุ้นปรับตัวลงแรงช่วงต้นสัปดาห์ท่ามกลางความกังวลต่อเนื่องเกี่ยวกับประเด็นสงครามการค้า หลังมีรายงานข่าวว่าสหรัฐฯ ประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากทุกประเทศ อย่างไรก็ดีดัชนีหุ้นดีดตัวขึ้นในเวลาต่อมา เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลบางส่วนต่อประเด็นการเรียกเก็บภาษีข้างต้นหลังประเมินว่าไทยน่าจะได้รับผลกระทบในกรอบจำกัด ประกอบกับมีปัจจัยบวกจากประเด็นข่าวที่ว่ากระทรวงการคลังมีแนวคิดจะปรับปรุงเงื่อนไขกองทุน LTF เพื่อพยุงตลาดหุ้นไทย รวมถึงแรงซื้อหุ้นบิ๊กแคป โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี
ดัชนีหุ้นพลิกร่วงอีกครั้งในช่วงท้ายสัปดาห์ โดยเผชิญแรงกดดันจากแรงขายหุ้นบิ๊กแคป โดยเฉพาะหุ้นผู้ประกอบธุรกิจท่าอากาศยานจากผลประกอบการไตรมาสล่าสุดออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ ประกอบกับบรรยากาศยังคงถูกดดันจากความไม่แน่นอนของประเด็นสงครามการค้าโดยเฉพาะการที่สหรัฐฯ เตรียมเดินหน้าเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) จากทุกประเทศที่เก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ
ส่วนค่าเงินบาท สัปดาห์ระหว่างวันที่ 17-21 ก.พ. 2568 ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวที่ระดับ 33.00-34.00 บาทต่อดอลลาร์ฯหลังจากในวันศุกร์ที่ 14 ก.พ. 2568 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 33.63 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 33.65 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (7 ก.พ.)
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดรอบ 3 สัปดาห์ที่ 34.25 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนพลิกแข็งค่ากลับมาตามราคาทองคำโลกที่พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ขาดแรงหนุนเนื่องจากตลาดประเมินว่า มาตรการตอบโต้ทางภาษีของสหรัฐฯ อาจจะยังไม่เริ่มในเร็วๆ นี้
เงินบาทอ่อนค่าลงตามทิศทางของสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ มีแรงหนุนจากข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของประธานเฟดซึ่งทำให้ตลาดประเมินว่า จังหวะการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดไม่น่าจะเกิดขึ้นเร็ว นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังแข็งค่าขึ้นตามสัญญาณสะท้อนความตึงเครียดของสงครามการค้า หลังประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า จะมีการประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากทุกประเทศ และจะมีการประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับประเทศที่มีการค้าไม่เป็นธรรมกับสหรัฐฯ
สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 10-14 ก.พ. 2568 นั้นขายสุทธิหุ้นไทย 1,106.5 ล้านบาท และมีสถานะอยู่ในฝั่ง Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 1,654.8 ล้านบาท (แบ่งเป็น ขายสุทธิพันธบัตร 135.7 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 1,519.1 ล้านบาท)
