ปตท.วางแผนปี 2562 รายได้และกำไรดีกว่าปีนี้ ตามราคาน้ำมันสูงขึ้น อยู่ที่ 70-80 เหรียญสหรัฐ ตั้งงบลงทุน 4.58 ล้านบาท บอร์ดเพิ่งอนุมัติร่วมทุนกับบางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส ใช้เทคโนโลยีผลิตและจำหน่ายก๊าซอุตสาหกรรม มูลค่าลงทุน 1,500 ล้านบาท
นายกฤช ชัยเรืองยศ ผู้จัดการฝ่ายผู้ลงทุนสัมพันธ์ บริษัทปตท. (PTT) เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้และกำไรสุทธิในปี 2562 ตามความต้องการใช้และราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น บริษัทคาดราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ย อยู่ที่ 70-80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับปีนี้ที่คาดเฉลี่ย 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากผลกระทบจากปัจจัยต่างประเทศ ทั้งมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐฯ, วิกฤตเศรษฐกิจในเวเนซุเอลา และไนจีเรีย ส่งผลทำให้ซัพพลายลดลง
ส่วนธุรกิจโรงกลั่น คาดค่าการกลั่น (GRM)เฉลี่ยอยู่ที่ 6.8-7.2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทรงตัวอยู่ในระดับสูง และจะรับรู้รายได้จากการให้ใช้ท่าเรือ-คลังก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เพื่อรองรับการนำเข้า LNG ขนาด 1.5 ล้านตัน/ปี ด้วย
นอกจากนี้บริษัทไม่มีค่าใช้จ่ายในเรื่องของภาษีจากการโอนกิจการของบริษัทปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (PTTOR)จำนวน 6,000 ล้านบาท เหมือนในปีนี้
สำหรับแผนการลงทุนในปี 2562 บริษัทตั้งงบไว้ที่ 4.58 หมื่นล้านบาท อยู่ในกรอบแผนการลงทุนระยะ 5 ปี (ปี 2561-2565) ซึ่งจะใช้ในโครงการท่อก๊าซธรรมชาติเส้นที่ 5 มูลค่า 1-2 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2564 และโครงการท่าเรือ-คลัง LNG เฟส 2 คาดว่าจะแล้วเสร็จได้ในปี 2565
บริษัทคาดว่ารายได้ในปีนี้จะเติบโต 2-3% ตามเป้าหมาย ตามปริมาณการขายน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ปัจจุบันบริษัทมีสถานีบริการน้ำมันจำนวน 1,700 แห่ง และยังมีแผนขยายสถานีบริการอย่างต่อเนื่องราว 60-100 แห่ง/ปี และรักษาส่วนแบ่งตลาดให้อยู่อันดับ 1 ต่อไป
ส่วนการนำธุรกิจถ่านหิน เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ประเทศอินโดนีเชีย ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างศึกษา ไม่สามารถระบุได้ว่าจะเห็นความชัดเจนเมื่อใด
ด้าน คณะกรรมการบริษัทปตท. มีมติอนุมัติให้ ปตท. และบริษัทในกลุ่ม ปตท. ที่ได้รับมอบหมายร่วมกันจัดตั้งบริษัทร่วมทุน กับ บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส (BIG)ภายใต้ชื่อ Map Ta Phut Air Products Company Limited (MAP)ถือหุ้นสัดส่วน 51% และ 49% เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายก๊าซอุตสาหกรรม โดยใช้เทคโนโลยีการแยกอากาศที่ใช้ความเย็นเหลือทิ้งจากก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่มีมูลค่าการลงทุนทั้งหมดประมาณ 1,500 ล้านบาท