“อินโนเวสท์ฯ” แจก 10 หุ้น DCA มองเป้าดัชนีปีนี้แตะ 1,700 จุด

HoonSmart.com>>อินโนเวสท์ เอกซ์ แจก 10 หุ้น DCA พื้นฐานดี เพิ่มน้ำหนักการลงทุนสินทรัพย์ปลอดภัย ทองคำ พันธบัตร หุ้นกู้เกรดเอ เงินฝากสกุลดอลลาร์ REITs ฝ่าภาวะเศรษฐกิจโลก-ไทยผันผวนแรงปี’67 คาดดอกเบี้ยเริ่มลดครึ่งปีหลังดันหุ้นดีดกลับครึ่งปีหลังให้เป้าปีนี้ 1,650-1,700 จุด

นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ กล่าวว่า เศรษฐกิจในโลกยุคใหม่มีการเติบโตแบบกระจุก และโตในบางประเทศ ไม่ได้กระจายเหมือนสมัยก่อน เพราะโลกติดกับดักหนี้ ทำให้รัฐบาลประเทศต่างๆ ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้มากเหมือนในอดีต

กลยุทธ์การลงทุนในปีนี้จึงต้องเน้นความปลอดภัยไว้ก่อน ซึ่งปัจจุบันการฝากเงินในสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ยังได้รับผลตอบแทนอยู่ที่ 5% และระยะสั้นยังไม่มีสินทรัพย์ใดที่ให้ผลตอบแทนเท่านี้และมีความเสี่ยงต่ำด้วย โดยสถานการณ์แบบนี้ควรลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar cost averaging)หรือ DCA ด้วยการทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดี ราคาต่ำกว่ามูลค่าปัจจัยพื้นฐาน กำไรมีแนวโน้มฟื้นตัว และได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การย้ายฐานการผลิตและอีอีซี ที่ยังมี Upside Gain ที่สูง ประกอบด้วย AMATA ,BBL,BEM,BDMS,CPALL,CRC,GULF,OR,SCC และ SCGP ที่เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว

“ไตรมาส 1 ปีนี้คาดว่าภาพรวมการลงทุนยังมีความผันผวนสูง แต่ด้วยระดับอัตรดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มว่าจะเริ่มปรับตัวลดลง จะทำให้ตลาดหุ้นไทยเริ่มน่าลงทุน โดยระยะสั้นมองว่าจุดที่เข้าซื้อที่สำคัญอยู่ที่ 1,400-1,450 จุด และคาดว่า SET Index มีโอกาสไปถึง 1,650-1,700 จุดได้”นายสุกิจ กล่าว

นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ Chief Commercial Office บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในปี 2567 เพื่อรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจ และอัตราดอกเบี้ยสูง ความขัดแย้งระหว่างประเทศส่ผลกระทบต่อการลงทุนและการค้า ด้วยการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูง ประกอบด้วย ทองคำ ซึ่งในช่วง 50 ปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3-4% เท่ากับอัตราเงินเฟ้อของตลาดโลก แต่ต้องเป็นการลงทุนระยะยาว ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ที่มีเกรดเอขึ้นไป ซึ่งอัตราดอกเบี้ยเมื่อผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ตราสารหนี้และทองคำ จะให้ผลตอบแทนที่ดี และฝากเงินในรูปของดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะยังให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่ ขณะที่หุ้นไทยไทยยังมีความผันผวน แม้ราคายังต่ำเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน แต่หุ้นประเทศเพื่อนบ้านก็มีราคาต่ำเช่นกัน

“ให้เพิ่มน้ำหนักขึ้นอีกประมาณ 5% ของความเสี่ยงที่แต่ละคนรับได้ เช่น มีการประเมินความเสี่ยงด้านลงทุนมาแล้ว ถ้าเดิมต้องลงทุนในทองคำ 20% ก็ให้เพิ่มเป็น 25 % เป็นต้น ซึ่งสินทรัพย์ปลอดภัยเหล่านี้จะทำให้ความผันผวนของพอร์ตลงทุนลดลงในยุคที่อัตราดอกเบี้ยสูง เศรษฐกิจผันผวน ส่วนหุ้นไทยราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคนี้ จึงต้องเลือกลงทุน และการลงทุนแบบ DCA จะเหมาะสมที่สุด”นายพิชัย กล่าว

 

นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย นักวิจัยการลงทุนอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ กล่าวว่า ปีนี้แนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพสูง ทั้งพันธบัตรและหุ้นกู้เอกชนที่มีการจัดอันดับอินเวสท์เม้นท์เกรด ขึ้นไป ซึ่งได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยที่ลดลงในอนาคต กระจายกรลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำ และ REITs

ด้านการลงทุนในตราสารหนี้ไทยนั้น ยังมีความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระอยู่บ้างแต่ไม่มาก เพราะหุ้นกู้กลุ่มอันดับเครดิตคุณภาพดี(อันดับความน่าเชื่อถือสูงกว่า A มูลค่า 6.9 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 77% ของยอดที่ต้องชำระทั้งหมด 8.9 แสนล้านบาทในปีนี้ ส่วนกลุ่มดอกเบี้ยสูง (อันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่า A)อยู่ที่ 1.4 แสนล้านบาท หรือ 17% ในขณะที่หุ้นกู้ที่ไม่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ 3.5 หมื่นล้านบาท หรือ 5.8% ของทั้งหมด

ทั้งนี้ จากการใช้ตัวกรองอย่าง Altman’s Z-score น้อยกว่า 1.8 และความสามารถในการชำระหนี้ต่ำกว่า 2x พบว่า บริษัทที่มีมูลค่าที่ต้องชำระในปี 2567 รวม 5.2 หมี่นล้าน หรือ 5.6%ของทั้งหมด มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก

ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ กล่าวว่า เศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้ว สหรัฐฯ ยุโรป กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงครึ่งแรกของปี และจะทำให้ FED ลดดอกเบี้ย 1% ในครึ่งปีแรก ขณะที่จีนจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วยแรงหนุนจากการผ่อนคลายนโยบายการเงิน แต่ยังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างโดยเฉพาะเงินฝืด

ด้านเศรษฐกิจไทย หากมาตรการ Digital Wallet ผ่านตามที่นายกฯประกาศจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 4.1% แต่หากมาตรการไม่ผ่านจะขยายตัวเพียง 3.2%

นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ กล่าวว่า ในส่วนของหุ้นต่างประเทศแนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับธีมเทคโนโลยีที่ได้ประโยชน์จากการใช้งาน AI ซึ่งเหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์อยู่ในช่วงวัฎจักรขาขึ้น การฟื้นตัวยังน่าสนใจในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 นอกจากนั้นยังเน้นการลงทุนในหุ้นคุณภาพดีที่ราคาลดลงแรง

สำหรับ หุ้นไทย กลุ่มหุ้นยั่งยืน(ESG) จะมีความสำคัญ และได้รับความสนใจเข้าลงทุนเพิ่มมากขึ้น

 

ทั้งนี้ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ให้ภาพปัจจัยที่จะเข้ามากระทบ SET Index ในแต่ละไตรมาส ที่จะทำให้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่จะมีความผันผวนตลอดทั้งปี

ไตรมาส 1 จะมีปัจจัยด้านผลประกอบการหุ้นกลุ่มเทคฯ ที่พื้นตัวต่อเนื่อง การปรับตัวลงถึงจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจอาเซียน การสิ้นสุดวงจรระบายสินค้าคงคลัง และความคาดหวังว่าธนาคารกลางของประเทศต่างๆ จะผ่อนคลายนโยบายการเงิน จะช่วยชดเชย sentiment เชิงลบจากความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยการปิดทำการรัฐบาล และผลการเลือกตั้งใต้หวันในกรณีที่ DPP ชนะเลือกตั้งซึ่งเป็นความเสี่ยงของตลาดภูมิภาคมากกว่าที่เป็นความเสี่ยงของตลาดโลก ดังนั้นคาดว่าตลาดจะมีความผันผวนสูง

ส่วนไตรมาส 2 ของปี คาดว่าเฟดน่าจะใกล้กลับทิศนโยบาย (Fed pivot) เนื่องจากมีความเสี่ยงที่เกิดปัญหาลุกลามจากภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ (soft landing) นอกจากนี้ยังคาดว่าดัชนีค่าเงินดอลลาร์และ yield จะปรับตัวลดลงการกลับมาเติมสต๊อกของจีนเป็นปัจจัยสำคัญ GDP และผลประกอบการของตลาด EM จะเติบโตสูงกว่าตลาด DM คาดว่าจะเห็นการ rotation จาก DM ไปยัง EM การลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยสนับสนุนสินทรัพย์เสี่ยง ในขณะที่ตราสารหนี้จะเริ่มปรับตัว outperform หุ้น

ในขณะที่ไตรมาส 3 ผลประกอบการของหุ้นกลุ่มเทคฯ จะเริ่มทรงตัวหลังจากทำฐานต่ำในปี 2022 ตลาดจะเปลี่ยนมาโฟกัสที่ valuation ของกลุ่มเทคฯ และปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ๆ นอกเหนือจาก AI เราคาดว่าจะมีการ rotation จากกลุ่มหุ้นเติบโตมายังกลุ่มหุ้นคุณค่าและกลุ่มหุ้นวัฏจักรที่ไม่รวมกลุ่มเทคฯอันเป็นผลมาจาก sentiment ที่ปรับตัวดีขึ้นจาก Fed pivot

ทั้งนี้ การหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกอย่างรุนแรงจะช่วยจำกัด downside คิดว่าตลาดไทยและ EM มีแนวโน้มที่จะยังคงมี downside อย่างมีนัยสำคัญจากการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยเต็มรูปแบบและรุนแรงในครึ่งหลังของปี 2567

สำหรับไตรมาส 4 ของปี เป้าหมาย SET Indexที่ 1,650-1,700 รูปแบบตามฤดูกาลจะช่วยสนับสนุนตลาดควบคู่ไปกับการ rally หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทั้งนี้ไม่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้ง ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงนอกจากนี้ตลาดยังมีมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตในปี 2568