ดาวโจนส์ปิดบวก 123 จุด ราคาน้ำมันดิบขึ้นต่อ

HoonSmart.com>>ดาวโจนส์ปิดบวก 123 จุด หุ้น Coca-Cola และ Apple หนุน เฟดยังไม่รีบลดอัตราดอกเบี้ย ตลาดยังกังวลทิศทางเศรษฐกิจ แนวโน้มสงครามการค้าโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทางด้านตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้น  ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นมากกว่า 1%

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 11กุมภาพันธ์ 2568 ปิดที่ 44,593.65 จุด เพิ่มขึ้น 123.24 จุด หรือ +0.28% จากการปรับขึ้นของ Coca-Cola และ Apple ที่ช่วยหักล้างการลดลงของ Tesla ในขณะที่นักลงทุนวิเคราะห์ความคิดเห็นล่าสุดของเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 6,068.50 จุด เพิ่มขึ้น 2.06 จุด, +0.03%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,643.86 จุด ลดลง 70.41 จุด, -0.36%

อย่างไรก็ตามตลาดยังมีความกังวลต่อทิศทางของเศรษฐกิจท่ามกลางการประกาศใช้ภาษีศุลกากร และแนวโน้มของสงครามการค้าโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้น

หุ้น Apple เพิ่มขึ้น 2.2% หลังจาก The Information รายงานว่าบริษัทกำลังร่วมมือกับ Alibaba เพื่อพัฒนาฟีเจอร์ปัญญาประดิษฐ์(AI) สำหรับผู้ใช้ iPhone ในประเทศจีน เพื่อลดการสูญเสียตลาด

หุ้น Coca-Cola พุ่งขึ้น 4.7% หลังจากรายได้ไตรมาส 4 สูงกว่าคาดการณ์ เป็นผลจากราคาที่สูงขึ้นและความต้องการโซดาและน้ำผลไม้ที่ฟื้นตัว

หุ้น Tesla ร่วงลง 6.3% หลังจากที่ Reuters และสื่ออื่นๆ รายงานว่ากลุ่มบริษัทที่นำโดย ซีอีโอ อีลอน มัสก์ เสนอเงิน 97 พันล้านดอลลาร์เพื่อซื้อ OpenAI สตาร์ทอัพด้าน AI

ประธานเฟดเจอโรม พาวเวลล์แถลงนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจรอบครึ่งปีต่อคณะกรรมาธิการธนาคารของวุฒิสภา สหรัฐเมื่อวันอังคารว่า เฟดยังไม่รีบเร่งที่จะลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากเศรษฐกิจโดยรวมแข็งแกร่ง โดยอัตราการว่างงานต่ำและอัตราเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมายของเฟดที่ 2%

“ด้วยจุดยืนทางนโยบายของเราตอนนี้มีข้อจำกัดน้อยลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด และเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง เราจึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนในการปรับจุดยืนทางนโยบายของเรา” พาวเวลล์กล่าว

พาวเวลล์มีกำหนดแถลงนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจรอบครึ่งปีต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ (12 ก.พ.)

นักลงทุนรอการรายงานข้อมูลเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคาผู้บริโภคในวันพุธ ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิตจะประกาศในวันพฤหัสบดี

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาความคิดเห็นเรื่องภาษีใหม่ๆ จากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากที่ขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมอย่างมากเป็น 25% จากอัตราเดิมที่ระดับ 10% และกล่าวว่าจะมีการประกาศในอีกสองวันข้างหน้าเกี่ยวกับภาษีที่เรียกเก็บในอัตราที่เท่ากัน(reciprocal tariffs )จากทุกประเทศที่เก็บภาษีสินค้าของสหรัฐฯ

ตลาดยุโรปปิดบวกท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน นักลงทุนจับตาการตอบโต้ของสหภาพยุโรปต่อการขึ้นภาษีการนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ซึ่งส่งผลให้กลุ่มทรัพยากรพื้นฐานปรับตัวลง

หุ้นกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้น 1.4%และนำการปรับขึ้นของตลาด

กลุ่มทรัพยากรพื้นฐานลดลง 1.9% ตามการลดลงของราคาโลหะพื้นฐาน หลังจากทรัมป์เรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมทั้งหมดที่จะมีผลตั้งแต่เดือนหน้า และคาดว่าจะประกาศภาษีreciprocal tariffs กับทุกประเทศที่เก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้

หุ้นของผู้ผลิตเหล็กในยุโรป ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 15% ของการนำเข้าของสหรัฐฯ ลดลง โดยหุ้น ArcelorMittal และ Voestalpine ลดลง 1.9% และ 0.9% ตามลำดับ ขณะที่ หุ้นThyssenkrupp ลดลง 3.9%

เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ประณามการดำเนินการของคณะบริหารของทรัมป์ และกล่าวว่ากลุ่มยุโรป 27 ชาติจะใช้ มาตรการตอบโต้ที่หนักแน่นและสมน้ำสมเนื้อ

นักลงทุนจับตาประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ เจอโรม พาวเวลล์ ที่มีกำหนดแถลงนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจรอบครึ่งปีต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ (12 ก.พ.)

ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 547.18 จุด เพิ่มขึ้น 1.26 จุด, +0.23%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,777.39 จุด เพิ่มขึ้น 9.59 จุด, +0.11%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,028.90 จุด เพิ่มขึ้น 22.68 จุด, +0.28%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 22,037.83 จุด เพิ่มขึ้น 126.09 จุด, +0.58%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้น 1.00 ดอลลาร์ หรือ 1.38% ปิดที่ 73.32 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนเมษายนเพิ่มขึ้น 1.13 ดอลลาร์ หรือ 1.49% ปิดที่ 77.00 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล