KAsset แนะจัดพอร์ตปี 67 เพิ่มตราสารหนี้-ทอง “หุ้นสหรัฐ-ญี่ปุ่น-อินเดีย-เวียดนาม”

HoonSmart.com>> “บลจ.กสิกรไทย” (KAsset) เปิดกลยุทธ์ลงทุนปี 67 คาดเฟดเริ่มลดดอกเบี้ย เศรษฐกิจโลกโตต่อเนื่อง สหรัฐฯ ยังขยายตัวได้ หนุนตลาดหุ้นและตราสารหนี้ คาดให้ผลตอบแทนดี ระมัดระวังความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ แนะจัดพอร์ตลงทุนกระจายหลากหลายสินทรัพย์ เพิ่มน้ำหนักลงทุน “ตลาดหุ้นสหรัฐ-ญี่ปุ่น-อินเดีย-เวียดนาม” ด้านตราสารหนี้ เพิ่มน้ำหนัก “พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ-พันธบัตรรัฐบาลไทยและหุ้นกู้เอกชน” พร้อมเพิ่มน้ำหนัก “ทองคำ” รองรับความเสี่ยงภาวะสงคราม ลดความผันผวนพอร์ต

วจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์

นายวจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์, CFA Chief Investment Officer บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2567 มีแนวโน้มจะชะลอตัวลงจากปี 2566 โดยที่เศรษฐกิจสหรัฐฯที่เริ่มเห็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าภาคผู้บริโภคกำลังเผชิญกับความท้าทายจากผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยที่สูง ในขณะเดียวกัน การเติบโตของเศรษฐกิจยุโรปกำลังชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยที่สูง และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนยังคงได้รับผลกระทบจากปัญหาจากภาคอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่น ยังคงต้องจับตาการเจรจาค่าจ้าง และเงินเฟ้อ แต่การปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นเร็วอย่างที่ตลาดคาดหวัง

ด้านเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตเร่งตัวขึ้น จากการท่องเที่ยวและการบริโภคที่ยังโตต่อเนื่อง การส่งออกและการใช้จ่ายภาครัฐที่กลับมาขยายตัว ส่งผลให้ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนกลับมาขยายตัวได้ และ Valuation ในปัจจุบัน ที่ซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตซึ่งสะท้อนความกังวลจากปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้นในปี 2565 ไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว

จุดสำคัญคือ การลดดอกเบี้ยของเฟดในปี 2567 นำมาซึ่งสินทรัพย์ที่น่าจะให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาลระยะเวลายาว และหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูง ซึ่งจะช่วยสร้างกระแสเงินสดให้กับนักลงทุนเศรษฐกิจโลก มีแนวโน้มจะชะลอตัวลงจากปี 2566 โดยที่เศรษฐกิจสหรัฐฯที่เริ่มเห็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าภาคผู้บริโภคกeลังเผชิญกับความท้าทายจากผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยที่สูง

“เรามองว่า ตัวกำหนดทิศทางเศรษฐกิจ และการลงทุนปี 2567 คือ ความไม่แน่นอนจากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ การดำเนินนโยบายที่อาจผิดพลาด และความผันผวนของสภาพอากาศ ดังนั้น การจัดสรรสินทรัพย์อย่างรอบคอบ และกระจายความเสี่ยง จะช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้ ไม่ว่าจะผ่านการลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสด (Income) หรือการลงทุนในธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างต่างๆ บวกกับการบริหารความเสี่ยงไปพร้อมกันเมื่อเฟดหยุดการขึ้นดอกเบี้ย จะส่งผลให้นักลงทุนหันมาสนใจลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ประเภท Long-Duration อย่างพันธบัตร/หุ้นกู้ที่มีอายุเฉลี่ยระยะยาว หุ้นปันผลสูง และทองคำ ในส่วนของการลงทุนในตราสารทุน นอกเหนือจากสหรัฐฯตลาดประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ มีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี เช่นเดียวกัน เนื่องจากมี Valuation อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับในอดีต และมีโอกาสถูกปรับเพิ่มประมาณการกำไรในอนาคต”นายวจนะ กล่าว

สำหรับตลาดหุ้นเอเชีย เชื่อว่าแนวทางการกระจายความเสี่ยงทั่วทั้งภูมิภาคมีความสำคัญในการคว้าโอกาสจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ นอกจากนี้ ด้วยผลตอบแทนพันธบัตรและอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่มีแนวโน้มลดลงในปี 2567 ทำให้มองว่า นักลงทุนจะกลับมาสนใจหุ้นเอเชียที่จ่ายเงินปันผลสูงอีกครั้ง ในด้านการลงทุนแบบ Thematic เรามองว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) การเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ และ ESG จะยังเป็นการลงทุนระยะยาวของโลก

สำหรับมูลค่าของตลาดหุ้น Valuation ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ด้าน P/E และ P/B สูงกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาวเล็กน้อย โดยตลาดหุ้นสหรัฐมีการกระจุกตัวของหุ้นที่เป็นผู้นำตลาดค่อนข้างมาก ทำให้แรงขับเคลื่อนที่หนุนผลตอบแทนของตลาดมาตลอดปีมาจากหุ้นไม่กี่ตัว และนักลงทุนมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นสหรัฐฯ ทำให้มีการซื้อขายในระดับราคาที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามหากพิจารณา Forward P/E พบว่าปัจจุบันหุ้นอินเดียอาจดูแพงในแง่ Valuation เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศเกิดใหม่อื่นๆ อยู่ที่ 21.8 เท่า ขณะที่หุ้นตลาดกลุ่มประเทศเกิดใหม่อื่นๆ ยังซื้อขายในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาว

ด้านมุมมองการลงทุนในปีนี้ แนะจัดสรรพอร์ตการลงทุนเพิ่มน้ำหนักใน 4 ตลาดหุ้น ได้แก่ “ตลาดหุ้นสหรัฐฯ” เนื่องจากมองนักวิเคราะห์ยังปรับประมาณการกำไรขึ้นเป็นส่วนใหญ่ ภาพเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ปรับตัวดูดีขึ้น เงินเฟ้อยังปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องและอัตราการเติบโตยังแข็งแกร่ง นอกจากนี้เฟดได้เริ่มส่งสัญญาณพร้อมที่จะลดดอกเบี้ยนโยบายในปี 2567 จาก Dot Plots ล่าสุด

“ตลาดหุ้นอินเดีย” เพิ่มน้ำหนักลงทุน รับเศรษฐกิจภายในประเทศยังขยายตัวได้ดี เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง แต่คาดว่าธนาคารกลางไม่น่าปรับดอกเบี้ยขึ้น กำไรของบริษัทจดทะเบียนยังคงแข็งแกร่งและเพิ่มน้ำหนัก “ตลาดหุ้นเวียดนาม” มองเศรษฐกิจยังฟื้นตัวต่อเนื่อง ผลักดันโดยภาคส่งออกที่ฟื้นตัวภายหลังกลุ่มประเทศหลักของโลกผ่านพ้นการปรับลดระดับสินค้าคงคลังและนโยบายผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางเวียดนาม เป็นปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวกำไรของบริษัทจดทะเบียน

ขณะเดียวกันลดน้ำหนัก “ตลาดหุ้นยุโรป” เนื่องจากการเติบโตต่ำกว่าตลาดโลกโดยรวม ทั้งแง่ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนและแนวโน้มเศรษฐกิจ ส่วน “ตลาดหุ้นจีน” แนะนำ Neutral จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศและภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงอ่อนแอ เศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มสูงที่จะฟื้นตัวได้ช้าในระยะต่อไป จับตาความต่อเนื่องและผลของมาตรการภาครัฐ

ส่วน “ตลาดหุ้นไทย” แนะนำ Neutral จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะถัดไปและความกังวลการจัดสรรงบประมาณ สร้างความกังวลแก่นักลงทุนถึงเสถียรภาพด้านการคลัง แต่คาดว่าความมั่นใจจะกลับมาหากนโยบายกระตุ้นและแหล่งที่มาของเงินชัดเจนขึ้น

ในส่วนของตราสารหนี้ เพิ่มน้ำหนักลงทุน “พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ” จากอัตราผลตอบแทนยังอยู่ในระดับสูงและหากเศรษฐกิจเติบโตต่ำกว่าคาด พันธบัตรยังคงสร้างผลตอบแทนได้ดี และเพิ่มน้ำหนัก “ตราสารหนี้ไทย” ทั้งพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ภาคเอกชน จากยีลด์ที่อยู่ในระดับนร่าสนใจและวัฎจักรการขึ้นดอกเบี้ยสิ้นสุดไปแล้ว อีกทั้งมีโอกาสลดดอกเบี้ยได้ในปี 2567

ขณะเดียวกันแนะนำการลงทุนในตราสารหนี้เอกชนสหรัฐฯ เป็น Neutral จากการเข้าสู่วัฎจักรดอกเบี้ยขาลง จะช่วยลดแรงกดดันต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัทในกลุ่ม High Yield ลงได้และการ Refinance หนี้ของกลุ่มนี้จะเกิดขึ้นในครึ่งหลังของปี 2567 แม้จะทำให้ภาพรวมการลงทุนดีขึ้น แต่ Valuation ปัจจุบันถือว่า High Yield Spread ต่ำกว่าในอดีตมาก จึงยังแนะนำ Investment Grade Bond มากกว่า

สำหรับการลงทุนตราสารทางเลือก เพิ่มน้ำหนัก “ทองคำ” ปัจจัยสนับสนุนจากการปรับตัวลดลงของ Real Yield อีกทั้งยังเป็นการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง โดยเฉพาะการป้องกันความเสี่ยงจากสภาวะสงครามและลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน ส่วนการลงทุนใน REIT โลก แนะนำ Neutral จากการปรับตัวลดลงของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ทำให้ Valuation ของสินทรัพย์ประเภทนี้น่าสนใจมากขึ้น และแนะนำให้ลดการถือเงินสด จากอัตราดอกเบี้ยแท้จริงยังอยู่ระดับต่ำ จึงให้ถือครองเงินสดเพื่อหลบความผันผวนในระยะสั้นและรอลงทุนเท่านั้น