HoonSmart.com>>”ไออาร์พีซี”(IRPC) รายงานปี 67 ขาดทุนสุทธิ 5,193.03 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 78% จากปี 66 ที่ขาดทุน 2,923.17 ล้านบาท รายได้จากการขายสุทธิ 281,711 ล้านบาท ลดลง 6% จากปี 66 เหตุปริมาณขาย-ราคาขายลดลงตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลง และ GRM ลดลง ขาดทุนจากสต็อกน้ำมันสุทธิ 664 ล้านบาท ส่วน EBITDA ลดลง 22% ส่วนไตรมาส 4/67 ขาดทุนสุทธิ 1,125 ล้านบาท น้อยกว่าไตรมาส 3/67 อยู่ 77% บันทึกกำไรจากสต็อกน้ำมันสุทธิ 648 ล้านบาท EBITDA 3,200 ล้านบาท เทียบไตรมาส 3/67 ที่ขาดทุน EBITDA 4,843 ล้านบาท
บริษัท ไออาร์พีซี (IRPC) รายงานปี 2567 ผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 5,193.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 78 จากปี 2566 ที่ขาดทุนสุทธิ 2,923.17 ล้านบาท โดยปี 2567 ขาดทุนต่อหุ้น 0.25 บาท ขาดทุนเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีขาดทุนต่อหุ้น 0.14 บาท
ปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสุทธิจำนวน 281,711 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับ 2566 โดยมีสาเหตุจากปริมาณขายลดลงร้อยละ 4 และราคาขายเฉลี่ยลดลงร้อยละ 2 ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง สำหรับธุรกิจปิโตรเลียมมีกำไรขั้นต้นจากการกลั่นตามราคาตลาด (Market Gross Refining Margin: Market GRM) ที่ลดลงจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์เทียบกับราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบดูไบ โดยเฉพาะส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซล และน้ำมันเบนซินที่อ่อนตัวลงจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตใหม่ของโรงกลั่นในแถบประเทศตะวนัออกกลางและทวีปแอฟริกา
ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาดของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี(Market Product to Feed: Market PTF) ที่เพิ่มขึ้นจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีกับราคาแนฟทาปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน ในขณะที่กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคมีกำไรขั้นต้นค่อนข้างคงที่ จากการขายไฟฟ้าและไอน้ำ ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรขึ้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM)อยู่ที่ 18,355 ล้านบาท หรือ 7.24 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงร้อยละ 5 อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยทั้งปี 2567 ปรับตัวลดลงจากปีก่อน โดยมีปัจจัยกดดันจากความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจจีน สหรัฐอเมริกา และยุโรปที่ชะลอตัว รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งในหลายประเทศ อาทิเช่น รัสเซีย-ยูเครน อิสราเอล-อิหร่าน ซึ่งงการลดลงของราคาน้ำมันดิบส่งผลให้เกิดการขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 2,496 ล้านบาท หรือ 0.98 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ขณะที่มีการกลับรายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่ได้รับ(กลับรายการ NRV) 953 ล้านบาท หรือ 0.38 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และกำไรจากการบริหารความเสี่ยงน้ำมันที่เกิดขึ้นจริง (Realized Oil Hedging) 879 ล้านบาท หรือ 0.35 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากรายการดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทฯ บันทึกขาดทุนจากสต็อกน้ำมันสุทธิ(Net Inventory Loss) รวม 664 ล้านบาท หรือ 0.25 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตทางบัญชี(Accounting GIM) จำนวน 17,691 ล้านบาท หรือ 6.99 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงร้อยละ 3 จากปีก่อน
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษีค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 4,476 ล้านบาท ลดลง 1,278 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 22 โดยในปี 2567 บริษัทฯ บันทึกค่าเสื่อมราคา 9,140 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากปีก่อน เป็นผลจากสินทรัพย์ที่เพิ่มจากโครงการ Ultra Clean Fuel (UCF) ที่มีการผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือนเมษายน 2567 ประกอบกับมีต้นทุนทางการเงินสุทธิจำนวน 2,427 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จากปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากเงินกู้ยืมที่เพิ่มขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นตามตลาด
บริษัทฯ บันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าและตัดจำหน่ายทรัพย์สินจำนวน 566 ล้านบาท โดยหลักมาจากบันทึกด้อยค่าเงินลงทุนของบริษัทย่อย และบริษัทร่วม และบันทึกการกลับรายการด้อยค่าที่ดิน อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีกำไรจากการลงทุนจำนวน 989 ล้านบาท โดยหลักเพิ่มขึ้นจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียลเอสเตท ระยอง (WHAIER) ที่เริ่มรับรู้รายได้จากการจำหน่ายที่ดินตั้งแต่ไตรมาส 2/2567
ในไตรมาส 4/2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสุทธิ 63,037 ล้านบาท ลดลง 6,927 ล้านบาท หรือร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2567 โดยมีสาเหตุหลักจากราคาขายเฉลี่ยลดลงร้อยละ 7 ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลง และปริมาณขายลดลงร้อยละ 3 สำหรับธุรกิจปิโตรเลียมมี Market GRM ที่เพิ่มขึ้นจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์เทียบกับราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลที่เพิ่มขึ้นจากความต้องการใช้น้ำมันดีเซลเพื่อเป็นเชื่อเพลิงสำหรับให้ความอบอุ่นที่มีอุณหภูมิหนาวเย็นมากกว่าปกติ ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีมี Market PTF ที่ลดลง จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ PS ในกลุ่มสไตรีนิกส์กับราคาแนฟทาลดลง ในขณะที่กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคมีกำไรขั้นต้นค่อนข้างคงที่จากการขายไฟฟ้าและไอน้ำ ส่งผลให้บริษัทฯ มี Market GIM อยู่ที่ 5,622
ล้านบาท หรือ 8.92 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นร้อยละ 54 จากไตรมาส 3/2567
อย่างไรก็ตาม จากสภาวะเศรษฐกิจจีนที่ยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร ประกอบกับความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในประเทศแถบตะวันออกกลาง เป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อน ส่งผลให้เกิดขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 1,268 ล้านบาท หรือ 2.01 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่บริษัทฯ บันทึกกลับรายการ NRV 1,335 ล้านบาท หรือ 2.12 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และกำไรจาก Realized Oil Hedging 581 ล้านบาท หรือ 0.92 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากรายการดังกล่าว บริษัทฯ บันทึก Net Inventory Gain รวม 648 ล้านบาท หรือ 1.03 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้บริษัทฯ มี Accounting GIM จำนวน 6,270 ล้านบาท หรือ 9.95 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2567 ที่บันทึกขาดทุน Accounting GIM 1,350 ล้านบาท หรือ 2.11 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
นอกจากนี้ บริษัทฯ มี EBITDA จำนวน 3,200 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2567 ที่มีผลขาดทุน EBITDA 4,843 ล้านบาท
โดยในไตรมาส 4/2567 บริษัทฯ บันทึกค่าเสื่อมราคา 2,429 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อน ประกอบกับบันทึกขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์จำนวน 406 ล้านบาท จากค่าเงินบาทอ่อนค่า อีกทั้งบันทึกขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการบริหารความเสี่ยงน้ำมัน 694 ล้านบาท และขาดทุนจากการด้อยค่า และตัดจำหน่ายทรัพย์สินจำนวน 652 ล้านบาท โดยหลักมาจากบันทึกด้อยค่าเงินลงทุนของบริษัทย่อยและบริษัทร่วม จากปัจจัยที่กล่าวข้างต้น ส่งผลให้ในไตรมาส 4/2567 บริษัทฯ บันทึกผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 1,125 ล้านบาท น้อยกว่าไตรมาส 3/2567 ที่ร้อยละ 77
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 184,555 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 114,447 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 70,108 ล้านบาท
———————————————————————————————————————————————————–

