ความจริงความคิด : ทฤษฎีเกมกับนโยบายทรัมป์

โดย…สาธิต บวรสันติสุทธิ์, CFP นักวางแผนการเงิน
คำกล่าวใน “ตำราพิชัยสงครามของซุนวู” มีอยู่บทหนึ่งที่คนไทยรู้จักกันดี แม้ว่าจะไม่เคยอ่านหรืออ่านไม่จบ ก็คือ “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง” หากมองในมุมของฝั่งตะวันตก ก็คงเป็นทฤษฎีเกม แน่นอนว่า ตอนนี้ทั้งสหรัฐและจีนต่างก็คาดการณ์กันว่า “อะไรจะเกิดขึ้นจากการดำเนินนโยบายต่างๆ และจะดำเนินการนโยบายอะไรต่อไป เพื่อให้เป้าหมายสัมฤทธิ์ผล”

ดังนั้น ในวันนี้ เราลองมาวิเคราะห์ผลของนโยบายที่คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นตามหลักของทฤษฎีเกมกันนะ

ทฤษฎีเกม (Game Theory) เป็นแนวคิดทางคณิตศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ที่ใช้วิเคราะห์การตัดสินใจของฝ่ายต่างๆ ที่มีผลกระทบซึ่งกันและกัน ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ได้หลายด้าน โดยเฉพาะนโยบายด้านการค้าระหว่างประเทศ การต่างประเทศ และการเมืองภายในประเทศ

1. สงครามการค้ากับจีน: เกมของนักเจรจา (Negotiation Game)
หนึ่งในนโยบายสำคัญของทรัมป์คือสงครามการค้ากับจีน ซึ่งสามารถมองได้ว่าเป็นเกมเชิงกลยุทธ์ระหว่างสองประเทศมหาอำนาจ

• กลยุทธ์ของสหรัฐฯ: ทรัมป์ใช้นโยบายภาษีศุลกากร (Tariffs) เป็นเครื่องมือกดดันจีนให้ยอมเจรจาและเปลี่ยนนโยบายทางเศรษฐกิจ เช่น การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
• กลยุทธ์ของจีน: จีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ และหาทางลดการพึ่งพาตลาดอเมริกัน
• ผลลัพธ์ตามทฤษฎีเกม: ในกรณีนี้ สถานการณ์สามารถอธิบายได้ด้วย “เกมภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของนักโทษ” (Prisoner’s Dilemma) ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายมีทางเลือกที่จะร่วมมือหรือแข่งขันกัน หากทั้งสองฝ่ายเลือกที่จะแข่งขัน (เช่น การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของอีกฝ่าย) ทั้งคู่จะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ แต่หากทั้งสองฝ่ายเลือกที่จะร่วมมือกัน ผลลัพธ์จะเป็นที่น่าพอใจมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เท่าที่ข้อมูลมีในตอนนี้ ทั้งสหรัฐฯ และจีนต่างเลือกที่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของอีกฝ่าย แม้จะเป็นการเลือกกลยุทธ์ที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง แต่สุดท้ายอาจนำไปสู่ “ภาวะสูญเสียทั้งสองฝ่าย” (Lose-Lose) หากไม่มีการเจรจาประนีประนอม
2. Folk Theorem กับเกมที่ไม่มีวันจบ

เนื่องจากสงครามการค้าระหว่างอเมริกา กับ จีน ไม่ใช่ one-shot game คือ เล่นครั้งเดียวจบ ไม่ต้องมาเจอหน้ากันอีก แต่เป็น repeated games คือเกมที่ทั้งสองฝ่ายต้องเล่นไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทฤษฎีฟอล์ก (Folk Theorem) ในทฤษฎีเกมระบุว่า ในเกมที่เล่นซ้ำหลายครั้ง หากผู้เล่นมีความอดทนเพียงพอและให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ระยะยาว การร่วมมือกันจะเป็นกลยุทธ์ที่เสถียรและเป็นไปได้ แม้ว่าจะมีแรงจูงใจให้แข่งขันในระยะสั้นก็ตาม

เมื่อพิจารณาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนผ่านมุมมองของทฤษฎี Folk Theorem จะเห็นได้ว่าทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ลึกซึ้งและพึ่งพาอาศัยกันอย่างมาก การตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าของอีกฝ่ายอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์สำหรับทั้งสองฝ่าย

อย่างไรก็ตาม หากทั้งสองประเทศมุ่งเน้นที่ผลประโยชน์ระยะยาวและให้ความสำคัญกับความร่วมมือ การลดความตึงเครียดทางการค้าและการหาข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ร่วมกันจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีกว่า การเจรจาและการประนีประนอมจะช่วยให้ทั้งสองประเทศสามารถรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ดังนั้น การนำทฤษฎี Folk Theorem มาใช้ในการวิเคราะห์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ชี้ให้เห็นว่าการร่วมมือและการเจรจาเป็นกลยุทธ์ที่เสถียรและเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายในระยะยาว
3. นโยบายอเมริกาต้องมาก่อน (America First) กับ เกมผลรวมศูนย์ (Zero-Sum Game)

ทรัมป์เน้นนโยบายที่ให้สหรัฐฯ ได้ประโยชน์สูงสุด ซึ่งบางครั้งอาจถูกมองว่าเป็น Zero-Sum Game คือถ้าสหรัฐฯ ได้เปรียบ ประเทศอื่นต้องเสียเปรียบ

• ตัวอย่าง: การถอนตัวจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และข้อตกลง NAFTA (เปลี่ยนเป็น USMCA)
• การวิเคราะห์ทางทฤษฎีเกม: ไม่ใช่ว่าทุกนโยบายของทรัมป์เป็น Zero-Sum Game จริงๆ แล้ว อาจมีบางกรณีที่เป็น Positive-Sum Game เช่น การเจรจาข้อตกลงการค้าฉบับใหม่ที่ทำให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์มากขึ้น

 

4. นโยบายต่อแคนาดา เม็กซิโก เกาหลีเหนือ กับ เกม “ไก่ชน” (Chicken Game)

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดา เม็กซิโกในอัตรา 25% โดยให้เหตุผลเกี่ยวกับปัญหาการลักลอบขนยาเสพติดและการอพยพเข้าเมืองที่ผิดกฎหมาย

จากมุมมองของทฤษฎีเกม สถานการณ์นี้สามารถอธิบายได้ด้วย “เกมไก่” (Chicken Game) ซึ่งเป็นเกมที่สองฝ่ายข่มขวัญกัน ใครถอยก่อนถือว่าแพ้ เป็นสถานการณ์ที่ผู้เล่นสองฝ่ายต้องตัดสินใจว่าจะเผชิญหน้าหรือหลีกเลี่ยง หากทั้งสองฝ่ายเลือกเผชิญหน้า จะเกิดผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์สำหรับทั้งคู่ แต่หากฝ่ายหนึ่งยอมถอย อีกฝ่ายจะได้รับประโยชน์มากกว่า
ในกรณีนี้ สหรัฐฯ เลือกที่จะเผชิญหน้าด้วยการขึ้นภาษี ขณะที่แคนาดา เม็กซิโก ตอบโต้ด้วยการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในอัตรา 25% เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม หลังจากการเจรจาระหว่างทรัมป์ กับผู้นำแคนาดา เม็กซิโก สหรัฐฯได้ตัดสินใจเลื่อนการขึ้นภาษีออกไป 30 วัน เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเจรจาเพิ่มเติม
การวิเคราะห์นี้แสดงให้เห็นถึงการใช้กลยุทธ์ในทฤษฎีเกมที่ทั้งแคนาดา เม็กซิโกพยายามรักษาผลประโยชน์ของตนเอง ขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์จากการเผชิญหน้า
ความสัมพันธ์ระหว่างทรัมป์กับเกาหลีเหนือ โดยเฉพาะกับคิมจองอึน สามารถอธิบายผ่าน Chicken Game ได้เช่นกัน

• ทรัมป์: ข่มขู่ด้วยมาตรการคว่ำบาตรและการแสดงแสนยานุภาพทางทหาร
• เกาหลีเหนือ: ทดลองขีปนาวุธและแสดงออกถึงความแข็งกร้าว
• ผลลัพธ์: ท้ายที่สุดทั้งสองฝ่ายเลือกที่จะเจรจา ซึ่งสะท้อนแนวคิดของเกมไก่ชนที่ถ้าทั้งคู่ไม่ถอย อาจนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรง แต่ถ้ามีฝ่ายหนึ่งประนีประนอมก็อาจนำไปสู่ข้อตกลงที่เป็นไปได้
5. นโยบายต่อ USAID กับ เกมผลรวมศูนย์ (Zero-Sum Game)

การวิเคราะห์นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ผ่านมุมมองของทฤษฎีเกม ช่วยให้เราเข้าใจกลยุทธ์และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการตัดสินใจนี้

เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลทรัมป์ได้สั่งปิด USAID และให้เจ้าหน้าที่ทั้งหมดกลับสหรัฐฯ ภายใน 30 วัน ส่งผลให้โครงการช่วยเหลือต่างๆ ทั่วโลกต้องหยุดชะงัก จากมุมมองของทฤษฎีเกม สถานการณ์นี้สามารถอธิบายได้ด้วย “เกมผลรวมศูนย์” (Zero-Sum Game) ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ผลประโยชน์ของฝ่ายหนึ่งจะเกิดขึ้นจากการสูญเสียของอีกฝ่ายหนึ่ง
ในกรณีนี้ การที่สหรัฐฯ ตัดสินใจปิด USAID อาจมองว่าเป็นการลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาล แต่ในทางกลับกัน ประเทศที่เคยได้รับความช่วยเหลือจาก USAID จะสูญเสียทรัพยากรและการสนับสนุนที่สำคัญ

นอกจากนี้ การปิด USAID ยังอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และอิทธิพลของสหรัฐฯ ในเวทีระหว่างประเทศ เนื่องจาก USAID เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้าง “อำนาจละมุน” (Soft Power) ของสหรัฐฯ

การวิเคราะห์นี้แสดงให้เห็นถึงการใช้ทฤษฎีเกมในการประเมินผลกระทบของนโยบายที่มีต่อทั้งสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

———————————————————————————————————————————————————–