สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุนแจกเป้า 1,590 AOT-CPALL-CPN-GPSC หุ้นเด่นปี 67

HoonSmart.com>>สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุนเปิดผลสำรวจ 26 สถาบัน คาดดัชนีหุ้นไตรมาส1/67 ปิดที่ 1,476 จุด สิ้นปีพบกัน 1590 จุด ระหว่างปีแกว่งตัวในกรอบ 1340 -1612 จุด คาดกำไรต่อหุ้นบจ. โต 12% จากเศรษฐกิจดี ดอกเบี้ยโลกลด แนะกระจายพอร์ตลงทุน ทุ่มกองทุนตราสารหนี้ 25.63% หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 23.67% หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 22.79% แนะนำ 4 หุ้นเด่น หลีกเลี่ยง DELTA และบริษัทหนี้สูง-เพิ่มทุน

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 26 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในไตรมาส 4 ปี 2566 บนสมมติฐานหลักปี 2567  ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 80.24 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เศรษฐกิจไทยเติบโต จากเดิมที่ 3.56% (ต.ค.66) ลดลงเหลือ 3.33% Risk Free Rate ที่ใช้ในการประเมินมูลค่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.92% Risk Premium ของตลาดหุ้น เฉลี่ยอยู่ที่ 7.68%

สำหรับปัจจัยบวกที่มีผลต่อทิศทางการลงทุนจนถึงสิ้นปี 2567 ที่มีผู้โหวตมาเกินกว่า 50%  นำโดยผลประกอบการของบจ.ปี 67 มีผู้ตอบแบบสำรวจ 92.59% ปัจจัยรองลงมา 92.31% โหวตให้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยเศรษฐกิจภายในประเทศ มีผู้ตอบ 85.19% และ Fund Flows จากต่างประเทศสู่ตลาดหุ้นไทย มีผู้ตอบ 66.67% ตามลำดับ

ส่วนปัจจัยด้านลบนำโดยการลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก มีผู้ตอบ 81.48% 80% รองลงมาปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ มีผู้ตอบ 71.43% ตามมาด้วยปัจจัยด้านเศรษฐกิจโลก มีผู้ตอบ 59.26% ตามลำดับ

การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ณ สิ้นปี 2567 มีนักวิเคราะห์ถึง 62.50% ที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับเดิม คือ 2.50% รองลงมามี 20.83% ของผู้ตอบ มองว่าจะลงไปที่ 2.25% และมีผู้ตอบ 12.50% มองว่าลงไปที่ 2.00% อย่างไรก็ตามมีผู้ตอบ 4.17% มองสวนทางว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 2.75% ทางด้านคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2567 ของตลาดเฉลี่ยที่ 95.62 บาท ปรับลดจากผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 99.47 บาทต่อหุ้น และคาดว่า EPS Growth ของปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 12.32%

“คาดการณ์ SET Index จะขึ้นไปปิดสิ้นไตรมาสแรกที่ 1,476 จุด  มองตลอดปีจะแกว่งตัวในกรอบ 1340 ถึง 1612 จุด  ปิดสิ้นปีปิดที่ 1590 จุด นักวิเคราะห์แนะนำให้มีการกระจายพอร์ตการลงทุน  ให้น้ำหนักมากที่สุดในกองทุนตราสารหนี้ 25.63% ตามด้วยหุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 23.67% หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 22.79% กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 9.17% เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 8.96% ทองคำหรือกองทุนทองคำ 8.75%และสินทรัพย์อื่นๆ เช่น Bitcoin ,น้ำมัน 1.03%”

ส่วนการลงทุนต่างประเทศนั้น แนะนำให้ลงทุนกองทุนหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ และ Selective Asia เช่น เกาหลี และเวียดนาม ส่วนหุ้นไทยแนะนำให้เพิ่มน้ำหนัก ค้าปลีก อาหาร เงินทุน/หลักทรัพย์ และการท่องเที่ยว ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ รายที่มีหนี้สูง และธุรกิจประกัน

สำหรับหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป  ได้แก่ AOT ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวดีขึ้น คาดนักท่องเที่ยวปีนี้สูงถึง 34.5-35 ล้านคน จากปี 2566 ที่ 27-28 ล้านคน  น่าจะเห็นมาตรการรัฐสนับสนุนเพิ่มเติม และนอกจากผลประกอบการจะฟื้นตัวตามการท่องเที่ยว ยังอยู่ระหว่างศึกษาการปรับขึ้นค่า PSC และการเก็บค่า Transit/Transfer รวมถึงการรอรับโอน 3 สนามบินจากกรมท่าอากาศยาน ส่วน CPALL  ได้แรงหนุนจากการท่องเที่ยว High Season และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล Easy E-Receipt ตลอดจนการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ รวมถึง Digital wallet ช่วยหนุนการจับจ่ายใช้สอย CPN  ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง ทั้งยังมีแผนการเปิดโครงการใหม่ในระยะยาว มองเป็นหุ้นที่น่าจะเป็นเป้าของกองทุน ThaiESG และ GPSC ปัจจัยสนับสนุนจาก Bond Yield ที่ปรับตัวลง และคาดกำไรปี 2567 โต 31% ฟื้นตัวตามค่าไฟที่คาดทยอยปรับขึ้น ขณะที่ต้นทุนก๊าซมีแนวโน้มค่อยๆ ลดลง

อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงหุ้น DELTA เนื่องจากราคาเกินมูลค่าปัจจัยพื้นฐานไปมาก และหุ้นรายตัวที่มีภาระกู้ยืมสูง/เพิ่มทุน

นักวิเคราะห์ยังได้แนะนำรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ มีความคุ้มค่ากับผลกระทบทางงบประมาณ โดยส่วนใหญ่กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แยกเป็นการลงทุนภาครัฐที่หนุนศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ถัดมาคือด้านการช่วยเหลือภาคประชนได้แก่ มาตรการลดค่าครองชีพ

ส่วนเรื่องนโยบายแจกเงินนั้นอยากให้เปลี่ยนเป็นโครงการกระตุ้นการบริโภค (คล้ายคนละครึ่ง) หรือนโยบายช้อปช่วยชาติ และตามมาด้วย เสนอนโยบายด้านการช่วยเหลือภาคธุรกิจได้แก่ นโยบายกระตุ้นการลงทุนจากต่างประเทศ เร่งแผนยกระดับศักยภาพการผลิตไทย ส่งเสริม FDI ในอุตสาหกรรมใหม่ๆ รวมถึงกระตุ้นการลงทุนเอกชนในประเทศเกี่ยวกับ New technology และ ESG