HoonSmart.com>>บลจ.ทิสโก้ แนะกลยุทธ์ลงทุนปี 68 ชู 2 ธีมลงทุนเด่น “ธีมที่ได้ประโยชน์จากนโยบายทรัมป์ 2.0” พร้อม “ธีม Laggard Play” มองภาพรวมลงทุนทั่วโลกผันผวน จากนโยบาย “ทรัมป์” จับจังหวะออกทริกเกอร์ฟันด์สร้างกำไรจากหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศ มองกรอบหุ้นไทย 1,200-1,530 จุด ครึ่งปีแรกผันผวนโอกาสฟื้นตัวครึ่งปีหลัง พร้อมวางเป้าหมายธุรกิจ ตั้งเป้าปีนี้มูลค่าสินทรัพย์(AUM) เติบโต 5-6% จากปีก่อนโตแตะ 4.07 แสนล้านบาท
นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า หุ้นไทยปรับตัวลงแรงหลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก แคนาดาและจีนในวันที่ 1 ก.พ.2568 เป็นวันแรก ซึ่งมองระดับดัชนีที่ปรับตัวลงมาเป็นจังหวะออกทริกเกอร์ฟันด์ลงทุนหุ้นไทยและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนจากหุ้นไทยที่มองว่าเป็นขาขึ้นรับเศรษฐกิจฟื้นตัว รวมถึงตลาดหุ้นทั่วโลกหากปรับตัวลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจก็พร้อมออกทริกเกอร์ฟันด์ลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ผู้ลงทุนตามเป้าหมายที่กำหนด เนื่องจากมองปีนี้หุ้นทั่วโลกจะผันผวนจากนโยบายทรัมป์
“ดัชนีหุ้นไทยที่ปรับตัวลงมาต่ำกว่า 1,350 จุด เรามองเป็นจังหวะในการออกทริกเกอร์ฟันด์ ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่อยากล็อกผลตอบแทนได้เร็ว ในปีนี้จึงยังเดินหน้าจับจังหวะการลงทุนและนำเสนอกองทุนทริกเกอร์ฟันด์อย่างต่อเนื่อง คาดว่าออกกองใหม่มากกว่า 5 กองทุน ตั้งเป้าผลตอบแทนเฉลี่ย 5% ในเวลา 5 เดือน ซึ่งในปี 2567 ที่ผ่านมา บลจ.ทิสโก้เปิดขายทริกเกอร์ฟันด์ 6 กองทุน สามารถบริหารและถึงเป้าหมายในระยะเวลาได้ทั้งหมด 5 กองทุน ถึงเป้าว่าหมายเร็วที่สุดคือภายใน 8 วัน และในเร็วๆ นี้เตรียมออกทริกเกอร์ฟันด์ลงทุนหุ้นเทคโนโลยี AI ในสหรัฐฯ”นายสาห์รัช กล่าว
ทั้งนี้ ณ วันที่ 27 ม.ค.2568 บลจ.ทิสโก้ออกกองทุนทริกเกอร์ฟันด์มาแล้วทั้งหมด 152 กองทุน (ถึงเป้าหมายใน ระยะเวลา 88 กองทุน และถึงเป้าหมายนอกระยะเวลาลงทุน 32 กองทุน) มีกองทุนที่อยู่ระหว่างลงทุน 1 กองทุน (ยังไม่ถึง เป้าหมายและเกินกว่ากําหนดเวลาลงทุน 11 กองทุน) และกองทุนไม่ถึงเป้าหมายและเลิกกองทุนแล้ว 20 กองทุน
นอกจากนี้บริษัทฯ มุ่งบริหารทุกกองทุนให้มีผลตอบแทนเหนือดัชนีชี้วัด โดยเฉพาะกองทุนหุ้นไทยที่หลายกองมี Performance อยู่ในระดับต้นๆ ของประเภทกองทุนหุ้นไทย ทั้งในช่วงระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว (ข้อมูลจาก Morningstar Thailand ณ 25 ม.ค. 68) และมั่นใจว่าผู้จัดการกองทุนจะยังคงบริหารกองทุนให้มีผลตอบแทนที่ดีเช่นนี้อย่างสม่ำเสมอ
นายสาห์รัช กล่าวว่า สำหรับเป้าหมายธุรกิจในปี 2568 บริษัทฯ ตั้งมูลค่าสินทรัพย์รวมภายใต้การจัดการ (AUM) เติบโต 5-6% จากปี 2567 อยู่ที่ 406,802 ล้านบาท หรือเฉลี่ยเติบโต 7% ต่อปี ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในปี 2562 มี AUM อยู่ที่ 290,239 ล้านบาท
“ในปีนี้ บลจ.ทิสโก้ยังคงมุ่งเน้นการเติบโต การขยายฐานลูกค้า และ AUM ในทั้ง 3 ธุรกิจ ทั้งกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ กองทุนส่วนบุคคล และโดยเฉพาะธุรกิจกองทุนรวมที่วางเป้ามายอัตราการเติบโตของ AUM ประมาณ 5-6% จากสิ้นปี 2567 ที่ 53,694 ล้านบาท ซึ่งขยายฐานลูกค้าผ่านช่องทางตัวแทนผู้สนับสนุนการขาย และ ช่องทางออนไลน์ โดยมุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งมองหาโอกาสในการออกผลิตภัณฑ์กองทุน ใหม่ๆ รวมถึงการนําเสนอกองทุน ที่ช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนอย่างต่อเนื่อง”นายสาห์รัช กล่าว
สำหรับธีมการลงทุนที่บลจ.ทิสโก้แนะนำในปี 2568 มี 2 ธีมกองทุนรวมที่โดดเด่น ได้แก่ ธีมที่ได้ประโยชน์จากนโยบาย 2.0 ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกอบด้วย กองทุนที่มีนโยบายลงทุนในธุรกิจ AI ของสหรัฐฯ กองทุนหุ้นขนาด ใหญ่ที่มีคุณภาพ และกองทุนหุ้นกลุ่มการเงินสหรัฐฯ แนะนำกอง TISCOAI, TGQUALITY,TUSFIN-A รวมถึงธีมกองทุนที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นช้ากว่าตลาด (Laggard Play) ในปีที่ ผ่านมา ประกอบด้วย กองทุนหุ้นขนาดกลาง – เล็กของสหรัฐฯ กองทุนหุ้นเอเชีย และกองทุนหุ้นเวียดนาม แนะนำ TUSMS, TASIA และ TVIETNAM
นายสุพงศ์วร เมี้ยนโภคา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.ทิสโก้ เปิดเผยว่า บลจ.ทิสโก้มองว่าภาพรวมการลงทุนในปี 2568 ยังคงมีความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากปัจจุบันราคาหุ้นทั่วโลกมีมูลค่า (Valuation) ค่อนข้างแพง โดยเฉพาะฝั่งตลาดประเทศพัฒนาแล้วประกอบกับความไม่แน่นอนของนโยบายทรัมป์ที่เดินหน้ามาตรการสงครามการค้าส่งผลกระทบต่อการเติบโตเศรษฐกิจทั่วโลกซึ่งบลจ.ทิสโก้คาดว่าทรัมป์จะดำเนินนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่หาเสียงไว้ในครั้งนี้อย่างจริงจังมากกว่าการดำรงตำแหน่งครั้งก่อนอย่างแน่นอน
“บลจ.ทิสโก้ยังคงคาดว่าหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินของสหรัฐฯ หุ้นกลุ่มการบริโภคที่เกี่ยวข้องกับประเทศสหรัฐฯ หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ (Healthcare) จะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่สร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นในปีนี้ โดยหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินจะได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ ขณะที่หุ้นกลุ่มการบริโภคของสหรัฐฯ จะได้รับประโยชน์จากการบริโภคในประเทศที่แข็งแกร่ง และหุ้นกลุ่ม Healthcare ที่ราคาหุ้นไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นมากนักในช่วงปีที่ผ่านมา”นายสุพงศ์วร กล่าว
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นจีนเป็นอีกตลาดหุ้นหนึ่งที่น่าจับตาเพราะราคาหุ้นอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ เริ่มเห็นผล แต่ยอมรับว่าความเสี่ยงต่างๆ ที่จีนได้เผชิญในปีที่ผ่านมาก็ยังคงอยู่ และยังมีความเสี่ยงจากนโยบายของทรัมป์เข้ามาเพิ่มในปีนี้
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 2568 บลจ.ทิสโก้คาดว่าดัชนีจะปิดปีที่ 1,530 จุด หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปี 2567 ส่วน Downside หุ้นไทยปีนี้มองที่ระดับ 1,200-1,250 จุด แม้ในปีนี้เศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนแต่เป็นการเติบโตในกลุ่มอุตสาหกรรมที่กระจุกตัวอยู่เฉพาะบางอุตสาหกรรมเท่านั้น เช่น อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก พลังงาน อาหาร และซอฟต์แวร์ ซึ่งไม่ได้เป็นการเติบโตในวงกว้างจึงยังไม่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม ขณะที่อุตสาหกรรมที่มีแรงงานจำนวนมากนั้นยังไม่เติบโตดีเท่าที่ควร โดยมองอัตราการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนมีกำไรต่อหุ้น (EPS) ปีนี้ที่ 87.6 บาท
“ภาพรวมหุ้นไทยในตอนนี้แนะนำ Wait& See รอจังหวะปัจจัยต่างๆ โดยเฉพาะนโยบายทรัมป์ให้นิ่งกว่านี้ รอปัจจัยบวกใหม่เข้ามาสนับสนุนอย่างนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐบาล ที่คาดว่าจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นและส่งผลบวกในครึ่งปีหลัง จากปีก่อนหน้าที่งบประมาณภาครัฐบาลยังชะลอจากการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล หรือแม้แต่ปัจจัยบวก รวมถึงหากรัฐบาลไฟเขียวปัดฝุ่นกองทุน LTF คาดว่าจะช่วยสนับสนุนหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นได้”นายสุพงศ์วร กล่าว
สำหรับหุ้นไทยปรับตัวลงแรงในวันที่ 1 ก.พ.นี้ ตามทิศทางตลาดหุ้นเอเชียตอบรับการปรับของภาษีของทรัมป์ แต่มองเป็นปัจจัยระยะสั้น เนื่องจากมองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีกว่าปีที่ผ่านมาและมองหุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว อีกทั้งเริ่มเห็นบริษัทซื้อหุ้นคืน ซึ่งหนุนให้ ROE สูงขึ้น อย่างไรก็ตามอาจยังไม่ได้เห็นแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติในทันที รอนโยบายทรัมป์นิ่งก่อน พร้อมกับรอปัจจัยบวกหรือข่าวดีจากนโยบายเศรษฐกิจไทยเข้ามา