หุ้นปิดร่วง 10.11 จุด กังวลสงครามการค้า ต่างชาติขาย 362 ลบ.

HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นปิดร่วง 10.11 จุด ตามตลาดต่างประเทศ กังวลสงครามการค้าหลังสหรัฐขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก, แคนนาดา และจีน หวั่นไล่ไปประเทศอื่น ๆ ด้วย หวั่นกระทบเศรษฐกิจ เงินเฟ้อเร่งขึ้น โดยช่วงเช้าดัชนี SET ร่วงลึกสุด 1,270 ต่ำสุดในรอบ 4 ปี 3 เดือน ทำนิวโลว์ บัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 1,142.86 บาท นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิ 905.03 ล้านบาท แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ลุ้นเกิดเทคนิคเคิลรีบาวด์ในช่วง 2-3 วันก่อนที่จะปรับตัวลงไปใหม่ แนวรับ 1,295-1,280 แนวต้าน 1,310 จุด

ตลาดหลักทรัพย์วันที่ 3 ก.พ.68 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,304.39 จุด ลดลง 10.11 จุด หรือ -0.77% มูลค่าซื้อขาย 54,212.17 ล้านบาท โดยดัชนีแตะสูงสุด 1,304.39 จุด ต่ำสุด 1,270.87 จุด

นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 362.91 ล้านบาท และบัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 1,142.86 บาท ด้านนักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิ 905.03 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 600.74 ล้านบาท

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้ปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศที่ร่วงกันทุกตลาด หลังสหรัฐฯขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก, แคนนาดา และจีน ซึ่งก็ได้มีการตอบโต้กลับสหรัฐด้วยเช่นกัน อันจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว เงินเฟ้อเร่งขึ้นในอนาคต ซึ่ง”ทรัมป์”กำลังไล่ขึ้นภาษีในประเทศอื่น ๆ ต่อไปด้วย จึงเป็น Negative Sentiment ให้กับตลาด ทำให้ช่วงเช้าดัชนีฯร่วงลงไปยังจุดต่ำสุดที่ 1,270 ต่ำสุดในรอบ 4 ปี 3 เดือน เป็นการทำ New Low

สงครามการค้ากระทบทุกกลุ่ม เพราะสหรัฐนำเข้าสินค้า แล้วก็ขึ้นภาษีนำเข้า ทำให้ของแพงขึ้น เงินเฟ้อสูงขึ้น โอกาสที่ลดดอกเบี้ยก็น้อยลง แต่ก็มีข้อดีสหรัฐขึ้นภาษีทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น แต่การตอบโต้ก็เป็นสงครามการค้า ซึ่งรอบนี้โดนเอเชียน้อย จีนโดนขึ้นภาษีนำเข้า 10% เอง ฝั่งยุโรปต้องรอดูว่าจะเท่าไร ไทยก็มีโอกาสที่”ทรัมป์”จะขึ้นภาษีเช่นกัน หากไทยโดนเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไปด้วย ก็จะทำให้ดุลการค้าแย่ลง เศรษฐกิจไทยแย่ลง GDP โตต่ำ การบริโภคจะมีไม่มาก ซึ่งตอนนี้ประเทศอื่น ๆ ก็ไปต่อรองกับ”ทรัมป์” ซึ่งประเทศไหนไม่อยากโดนก็ต้องไปคุย อย่างประเทศญี่ปุ่นจะไปคุย 7 ก.พ.นี้ ส่วนไทยก็เห็นว่าจะไปคุยเดือนก.พ.แต่ยังไม่รู้เมื่อไร ตอนนี้ต้องจับตาความเคลื่อนไหวของ”ทรัมป์”

ในส่วนกำไรของบริษัทจดทะเบียนก็มีความเสี่ยง หาก”ทรัมป์”ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยด้วย เพราะจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า ขณะที่เงินบาทอ่อนค่า นักลงทุนต่างชาติก็คงจะกลัวขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน(FX) ก็ยิ่งทำให้เงินทุนไหลออกจากไปอีก ซึ่งกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จะได้รับผลกระทบทางตรงหากมี”ทรัมป์”ขึ้นภาษีฯกับไทย ส่วนกลุ่มอาหารจะโดนน้อยเพราะส่งออกไปสหรัฐไม่มากเมื่อเทียบกับฝั่งยุโรปจะมีมากกว่า

“ตลาดหุ้นไทยแย่กว่าคนอื่น เพราะไม่มีข่าวดี เขาขึ้นเราไม่ขึ้น เขาลงเราลงด้วย ซึ่งหุ้นปรับตัวลงแรงแล้วเด้ง แต่จุดซื้อไม่มี ไม่มีสัญญาณเล่น แม้แถวนี้จะถูกแต่คนจะซื้อหรือเปล่า…พร้อมมองต้นสัปดาห์หุ้นผันผวน ปลายสัปดาห์รีบาวด์ แนะเล่นสั้นไป ภาพตลาดยังเป็นลบ”

ทั้งนี้ หุ้นที่พอจะลงทุนได้มองเป็นหุ้นในกลุ่มธนาคารดูดีสุดช่วงนี้ จากอัตราดอกเบี้ยไม่ลง และยังให้ปันผลสูง แนะนำหุ้นแบงก์ใหญ่ อย่างเช่น SCB, KBANK, TTB, BBL ส่วนกลุ่ม ICT ก็ได้ประโยชน์จาก Data Center อย่างหุ้น GULF, ADVANC, TRUE ซึ่งจะดูดีกว่าตัวอื่น รวมถึงกอง REIT ก็ลงทุนได้ให้ผลตอบแทน (yield) 7-8% ซึ่งซื้อตอนราคาลงแล้วถือยาวไป ส่วนหุ้นที่อิงนโยบายรัฐฯดูจะนิ่ง อย่างกลุ่มโรงไฟฟ้า เพราะเจอเรื่องค่าไฟฟ้า และ BEM เจอโครงการล่าช้า

แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (4 ก.พ.) ตลาดยังมีลุ้นเกิดเทคนิคเคิลรีบาวด์ในช่วง 2-3 วันก่อนที่จะปรับตัวลงไปใหม่ แม้่ว่าหุ้นแถวนี้จะราคาถูก แต่ก็ต้องดูว่าคนจะซื้อหรือเปล่า พร้อมให้แนวรับ 1,295-1,280 จุด แนวต้าน 1,310 จุด

5 อันดับหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด ได้แก่
CPALL ปิดที่ 52.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ +0.96% มูลค่าซื้อขาย 5,602.52 ล้านบาท
DELTA ปิดที่ 125.50 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือ -0.40% มูลค่าซื้อขาย 3,073.92 ล้านบาท
KBANK ปิดที่ 159.00 บาท ลดลง 1.50 บาท หรือ -0.93% มูลค่าซื้อขาย 2,849.12 ล้านบาท
KTB ปิดที่ 22.90 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าซื้อขาย 1,913.06 ล้านบาท
PTT ปิดที่ 31.00 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือ -1.59% มูลค่าซื้อขาย 1,753.79 ล้านบาท