กองทุน Thai ESG ปิดปี66 แตะ 5,267 ลบ. SCBAM แชมป์ AUM-“กสิกรฯ”คว้ากองใหญ่สุด

HoonSmart.com>> กองทุนรวม Thai ESG กองทุนลดหย่อนภาษีใหม่ ปิดสิ้นปี 66 มูลค่าทรัพย์สินกว่า 5,267 ล้านบาท ด้าน “บลจ.ไทยพาณิชย์” (SCBAM) ครองแชมป์ 1,127 ล้านบาท ห่างจากอันดับสอง “บลจ.กสิกรไทย” อยู่ที่ 1,122 ล้านบาท ขณะที่ “กองทุนเค Target Net Zero หุ้นไทย ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน” (K-TNZ-ThaiESG) บลจ.กสิกรไทย ขึ้นแท่นกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่ม

กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund) หรือ Thai ESG กองทุนลดหย่อนภาษีใหม่ เน้นลงทุนในประเทศ ในหุ้นหรือตราสารหนี้ เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหรือเพื่อความยั่งยืน ซึ่งใช้เวลาเปิดตัวและเสนอขายให้แก่นักลงทุนในเวลาสั้นๆ ไม่ถึง 1 เดือน โดยมีจำนวน 16 กองทุน จาก 22 บลจ. เปิดขายพร้อมกัน 8 ธ.ค.2566 จากมูลค่าเสนอขายครั้งแรก (IPO) ประมาณ 2,000 ล้านบาท ล่าสุด มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM) เพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้น 5,266.78 ล้านบาท ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค.2566 จากบริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย)

สำหรับบลจ.ที่มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (AUM) กองทุน Thai ESG สูงสุด ได้แก่ บลจ.ไทยพาณิชย์ มีมูลค่า 1,127.32 ล้านบาท จากจำนวน 3 กองทุน อันดับ 2 บลจ.กสิกรไทย มีมูลค่า 1,122.74 ล้านบาท จำนวน 1 กองทุน อันดับ 3 บลจ.บัวหลวง มีมูลค่า 817.56 ล้านบาท จำนวน 1 กองทุน อันดับ 4 บลจ.เกียรตินาคิน มีมูลค่า 570.74 ล้านบาท จากการเสนอขาย 2 กองทุน และอันดับ 5 บลจ.กรุงไทย มูลค่า 551.60 ล้านบาท จากการเสนอขาย 3 กองทุน

อันดับ 6 บลจ.กรุงศรี มูลค่า 378.45 ล้านบาท จำนวน 1 กองทุน อันดับ 7 บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) มูลค่า 255.55 ล้านบาท จำนวน 1 กองทุน อันดับ 8 บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) มูลค่า 190 ล้านบาท จำนวน 1 กองทุน อันดับ 9 บลจ.ทิสโก้ มูลค่า 103.61 ล้านบาท จำนวน 1 กองทุน อันดับ 10 บลจ.แอสเซทพลัส มูลค่า 44.08 ล้านบาท จำนวน 1 กองทุน

อันดับ 11 บลจ.เอ็มเอฟซี มูลค่า 40.61 ล้านบาท จาก 2 กองทุน อันดับ 12 บลจ.วรรณ มูลค่า 27.98 ล้านบาท จำนวน 1 กองทุน อันดับ 13 บลจ.ทาลิส มูลค่า 15.25 ล้านบาท จำนวน 1 กองทุน อันดับ 14 บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มูลค่า 10.73 ล้านบาท จำนวน 1 กองทุน อันดับ 15 บลจ.พรินซิเพิล มูลค่า 7.70 ล้านบาท จำนวน 1 กองทุนและอันดับ 16 บลจ.เคดับบลิวไอ มูลค่า 2.85 ล้านบาท จำนวน 1 กองทุน

ขณะที่กองทุนที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กองทุนเปิดเค Target Net Zero หุ้นไทย ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน (K-TNZ-ThaiESG) ของบลจ.กสิกรไทย มีมูลค่าสูงสุด 1,122.74 ล้านบาท รองลงมา กองทุนเปิดบัวหลวงทศพลไทยเพื่อความยั่งยืน (B-TOP-THAIESG) ของบลจ.บัวหลวง มีมูลค่า 817.56 ล้านบาท อันดับ 3 กองทุนเปิดเคเคพี พันธบัตรรัฐบาลไทยเพื่อความยั่งยืน (KKP GB THAI ESG) ของบลจ.เกียรตินาคิน มูลค่า 481.38 ล้านบาท อันดับ 4 กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ไทยผสมยั่งยืน (ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน) SCBTM (ThaiESG) ของบลจ.ไทยพาณิชย์ มีมูลค่า 352.35 ล้านบาท และอันดับ 5 กองทุนเปิดกรุงไทย ESG A Grade 70/30 (KTAG70/30) ของบลจ.กรุงไทย มีมูลค่า 272.33 ล้านบาท

นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBAM) เปิดเผยว่า SCBAM ประสบความสำเร็จจากการออกเสนอขายกองทุน Thai ESG พร้อมกัน 3 กองทุน ในช่วงเดือนธ.ค.2566 ที่ผ่านมา เพื่อตอบสนองนโยบายภาครัฐและสิทธิการลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม โดยล่าสุด กองทุน Thai ESG ของ SCBAM มีมูลค่า AUM จากการเสนอขายตลอดเดือนธ.ค.จำนวนเงินรวมกว่า 1,127 ล้านบาท ซึ่งครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มอุตสาหกรรม (ที่มา: Morningstar ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2566) สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เลือกกองทุน Thai ESG ของ SCBAM เป็นช่องทางการออมเงินระยะยาวและใช้สิทธิลดหย่อนภาษีของปี 2566

ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมา ดัชนี SET และหุ้นไทยปรับลดลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ประกอบกับมูลค่า NAV ของกองทุน Thai ESG หลังออกเสนอขายหน่วยลงทุนยังปรับขึ้นมาไม่มาก ในปี 2567 นี้ จึงมองเป็นจังหวะเข้าลงทุนได้ต่อเนื่องต้นแต่ต้นปี เพื่อทยอยสะสมมูลค่าเงินออม และนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับปีนี้ได้

นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับปี 2567 นี้ SCBAM มองว่า ทิศทางการเติบโตของตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจในแง่ของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะที่หลายประเทศเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลง ประกอบกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว จึงมีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้น จากแรงหนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตแบบเร่งตัวจากภาคการส่งออก แนวโน้มการค้าโลกที่ขยายตัวสูงขึ้น และการขยายตัวการลงทุนภาคเอกชนตามแนวโน้มยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนและนโยบายส่งเสริมจากภาครัฐ

“คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะมีโอกาสปรับตัวขึ้น และส่งผลต่อกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยให้กลับมาเติบโตได้ในปีนี้ จึงเป็นโอกาสเข้าลงทุนสะสมหุ้นไทยที่มีเป้าหมายการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน ผ่านกองทุน Thai ESG นี้ได้ต่อเนื่อง ซึ่งนอกเหนือจากการวางแผนออมเงินในระยะยาวแล้ว ยังสามารถรับสิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับปี 2567 ได้ต่อเนื่อง และยังเป็นส่วนหนึ่งที่พร้อมหนุนการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจและสังคมไทยให้มีการเติบโตเพื่อก้าวไปสู่ความยั่งยืนร่วมกันอีกด้วย”นายณรงค์ศักดิ์ กล่าว