HoonSmart.com>>”ปูนซิเมนต์ไทย”(SCC) เผยปี 67 กำไร 6,342 ล้านบาท กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (EBITDA) 53,946 ล้านบาทระดับเดียวกับปี 66 หนี้ลดลงผลจากการเร่งปรับตัว เคาะปันผลอีก 2.50 บาท/หุ้น รวมทั้งปี 5 บาท เป็นเงิน 6,000 ล้านบาท คิดเป็น 95% ของกำไร ย้ำมุ่งดูแลผู้ถือหุ้นต่อเนื่อง ตั้งงบลงทุนปี 68 ประมาณ 3-3.5 หมื่นล้านบาท
บริษัทปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือ เอสซีจี เปิดเผยผลการดำเนินงานประจำปี 2567 มีกำไรสุทธิ 6,341.64 ล้านบาท คิดเป็นกำไรหุ้นละ 5.28 บาท ลดลงจากปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิ 25,914.98 ล้านบาท หรือ 21.60 บาทต่อหุ้น
สาเหตุที่กำไรลดลง เนื่องจากไตรมาสที่ 4 ขาดทุนสุทธิ 512 ล้านบาท พลิกจากกำไร 721 ล้านบาทในไตรมาสก่อน สาเหตุจากผลประกอบการของโรงงานปิโตรเคมีเวียดนาม LSP และจากการรับรู้ค่าเสื่อมราคาทั้งหมดของโรงงาน LSP ในขณะที่ไตรมาสก่อนมีรายการเงินสดที่ได้จากสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยหรือ Interest Rate Swap (IRS) มูลค่า 2,183 ล้านบาท จาก เอสซีจีเคมิคอลส์ (SCGC) ขณะที่มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 130,512 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของ SCGC
ในปี 2567 เอสซีจียังคงความสามารถในการบริหารกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน หรือ EBITDA ได้ดี อยู่ที่ 53,946 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับปี 2566 ผลจากการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ บริหารต้นทุนต่อเนื่อง เร่งส่งมอบนวัตกรรมมูลค่าเพิ่มสูง ตลอดจนได้รับเงินปันผลในปี 2567 รวม 14,063 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากการลงทุนในธุรกิจเครื่องจักรกลการเกษตรและธุรกิจยานยนต์ ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกมีความท้าทาย และเป็นช่วงที่วัฏจักรปิโตรเคมีโลกชะลอตัวต่ำสุดในรอบ 20 ปี ส่งผลให้เอสซีจีมีรายได้จากการขายจำนวน 511,172 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน จากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นของ SCGC และบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP)
สำหรับความคืบหน้ามาตรการปรับตัวรับมือเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ซึ่งได้ทำตามที่ประกาศไว้ในสิ้นไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ได้แก่ 1.) บริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียน ลดลงประมาณ 6,200 ล้านบาทจากปีก่อน 2.) ปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจ และหยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไรในปี 2567 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน 3.) ควบคุมเงินลงทุน (CAPEX) เน้นเฉพาะโครงการที่มีผลตอบแทนสูงและเร็ว ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้หนี้สินสุทธิลดลง 16,777 ล้านบาท มาอยู่ที่ 295,104 ล้านบาท จาก 311,881 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน อัตราหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 0.7 เท่า สถานะทางการเงินยังมั่นคงและแข็งแกร่ง โดยมีเงินสดคงเหลือ ณ สิ้นปี 2567 จำนวน 53,331 ล้านบาท
เมื่อพิจารณาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (EBITDA) ที่ยังคงตัวอยู่ในระดับเดียวกับปี 2566 คณะกรรมการบริษัทจึงมีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 5 บาท รวมเป็นเงิน 6,000 ล้านบาท คิดเป็น 95% ของกำไร ซึ่งคณะกรรมการมีความเห็นว่าเป็นอัตราเงินปันผลที่เหมาะสมและอยู่ในกรอบนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่กำหนดในช่วงอัตรา 40-50% ของกำไรสุทธิ แต่ในกรณีที่มีความจำเป็นหรือมีเหตุการณ์ไม่ปกติ บริษัทอาจนำมาประกอบการพิจารณาเปลี่ยนแปลงการจ่ายเงินปันผลในช่วงนั้น ๆ ตามความเหมาะสมได้ ปีนี้คณะกรรมการบริษัทจึงเห็นสมควรเสนอการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2567 เพื่อมุ่งดูแลผู้ถือหุ้นให้ได้รับผลตอบแทนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับครึ่งปีแรกในอัตราหุ้นละ 2.50 บาท และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 2.50 บาท ให้ผู้ถือหุ้นที่มีชื่อในทะเบียนวันที่ 3 เม.ย.2568 ขึ้น XD วันที่ 2 เม.ย.นี้ กำหนดจ่ายเงินวันที่ 22 เม.ย.2568 และให้รับเงินปันผลภายใน 10 ปี
ส่วนแนวโน้มปี 2568 เอสซีจีคาดการณ์รายจ่ายลงทุนและเงินลงทุนอยู่ที่ประมาณ 30,000-35,000 ล้านบาท และเร่งดำเนินงานต่อเนื่อง เช่น เพิ่มสัดส่วนสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง ขยายปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ Gen II และ Gen III และเร่งขยายปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำไปยังตลาดอาเซียน SCGC Green Polymer โครงการก๊าซอีเทน LSP และแผนงานการขายสินทรัพย์ (Asset divestments) เป็นต้น