บลจ.กสิกรไทยมอง 3 ธีมเด่นปี 67 หุ้นไทยฟื้น เป้าดัชนี 1,500-1,570

HoonSmart.com>> “บลจ.กสิกรไทย” มอง 3 ธีมมาแรงปี 67 “ตราสารหนี้ทั้งไทยและต่างประเทศ-หุ้นไทย-หุ้นสหรัฐฯ” แนะจัดพอร์ตลงทุน 80% กระจายตามสัดส่วนหุ้นโลก-ตราสารหนี้-ทองคำ- REITS ส่วนพอร์ตเสริม 20% จับจังหวะทำกำไร “หุ้นอินเดีย-เวียดนาม-ธีมหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์” สำหรับ “หุ้นไทย” มีโอกาสฟื้นตัว มองเป้า 1,500-1,570 จุด กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโต 16.4%

สุรเดช เกียรติธนากร

นายสุรเดช เกียรติธนากร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย (KAsset) เปิดเผยว่า ธีมการลงทุนปี 2567 มองตราสารหนี้ทั้งไทย และต่างประเทศจะกลับมาให้ผลตอบแทนที่ดี หลังจากวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) สิ้นสุดลง โดยแนะนำทั้งตราสารหนี้คุณภาพสูงสหรัฐฯ และตราสารหนี้ไทย โดยเฉพาะพันธบัตรที่มี Duration 2 ปี และ 10 ปี

ขณะที่ความเสี่ยงของตราสารหนี้ คือ เงินเฟ้อที่จะกลับมา หลังจากที่เฟดลดดอกเบี้ย ซึ่งประเมินว่ามีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ ประเด็นที่ต้องติดตามคือ การประชุมเฟดวันที่ 30-31 ม.ค.และการประชุม กนง. วันที่ 7 ก.พ. เพื่อดูทิศทางและมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ

“KAsset แนะนำให้นักลงทุนมีตราสารหนี้เป็นสัดส่วนสำคัญตามความเสี่ยงที่รับได้ เพื่อได้รับผลตอบแทนจากทั้งดอกเบี้ยและส่วนต่างราคา และเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ต”นายสุรเดช กล่าว

สำหรับตลาดหุ้นไทยอาจจะมีโอกาสกลับมาให้ผลตอบแทนที่ดี จาก Valuation ที่ไม่แพง KAsset คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวได้ 3-3.5% น่าจะได้รับปัจจัยหนุนจากการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวและการขยายตัวของการบริโภคภายในประเทศ

ปัจจัยที่ต้องติดตามคือนโยบาย Digital Wallet และ การเบิกจ่ายของภาครัฐในเดือนพ.ค. ซึ่งน่าจะมีความชัดเจนขึ้น ทาง KAsset คาดว่า ในปี 2567 กำไรของบริษัทจดทะเบียนจะกลับมาขยายตัวได้ และ Valuation ในปัจจุบัน ที่ซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต สะท้อนความกังวลจากปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้นในปี 2566 ไปแล้ว

นายสุรเดช กล่าวว่า แนวโน้มหุ้นไทยปี 2567 มอง downside ของ SET Index มีจำกัด จากความผันผวนของราคาสินทรัพย์เสี่ยงที่ลดลงตามแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ ที่ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ในขณะที่เศรษฐกิจยังคงเติบโตได้ โดยมีปัจจัยหนุนในประเทศ คือ ภาคการท่องเที่ยวที่ยังฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วง high season เม็ดเงินจากกองทุน Thailand ESG Fund ที่เข้ามาในตลาดหุ้นในช่วงเดือน ธ.ค. 2566 นโยบาย e-refund ที่จะช่วยเข้ามากระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงต้นปี 2567 และ Valuation ในปัจจุบัน ที่ซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตซึ่งสะท้อนความกังวลจากปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว

ทั้งนี้ คาดว่า SET Index จะปรับตัวขึ้นไปสู่ระดับ 1,500-1,570 จุดได้ในปี 2567 โดยประเมินจากสมมุติฐานอัตราการเติบโตของผลกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ 16.4% และ target PER ที่ 15.3 เท่า (ค่าเฉลี่ย 10 ปี)

สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ มองยังคงมีความน่าสนใจ และอาจให้ผลตอบแทนมากกว่าตลาดอื่นๆ ต่อไป เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง สะท้อนออกมายังกำไรของบริษัทจดทะเบียน อย่างไรก็ตาม การปรับตัวของหุ้นสหรัฐฯค่อนข้างกระจุกตัวอยู่ในบริษัทเทคฯขนาดใหญ่ จึงแนะนำให้ลงทุนโดยเน้นการกระจายความเสี่ยง ออกไปยังบริษัทที่กำไรมีคุณภาพ เติบโต หรือ sector ที่มีโอกาสฟื้นตัวในปีหน้า อย่างเช่น หุ้นเทคขนาดกลาง กลุ่มเทค hardware หรือเซมิคอนดักเตอร์

ปัจจัยที่ต้องจับตามองคือ การประชุมเฟด และการประกาศผลประกอบการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 4/2566 โดยตลาดมองว่ากำไรน่าจะฟื้นตัวจากไตรมาสที่ 3 ได้อย่างต่อเนื่อง

“ความเสี่ยงของตลาดสหรัฐฯ คือตลาดคาดหวังว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยถึง 6 ครั้ง เริ่มตั้งแต่การประชุมเดือนมีนาคม ดังนั้น หากเฟดไม่ได้ลดดอกเบี้ยตามคาด จะทำให้เกิดการปรับฐานได้ ซึ่งเรามองว่าจะเป็นจังหวะให้เข้าไปลงทุน“นายสุรเดช กล่าว

สำหรับพอร์ตการลงทุนในปี 2567 ยังคงแนะนำการจัดพอร์ตแบบ Core- Satellite แบ่งพอร์ตหลักและพอร์ตเสริม เป็นสัดส่วน 80% ในพอร์ตหลัก และ 20% ในพอร์ตเสริม และในส่วนพอร์ตหลัก เน้นการกระจายการลงทุนตามสัดส่วนหุ้นโลก ตราสารหนี้ ทองคำ และ REITS ส่วนในพอร์ตเสริม เน้นการจับจังหวะ และหาผลตอบแทน ในตลาดที่มีกำไรโดดเด่น หรือมีความเป็นวัฎจักร เช่น อินเดีย เวียดนาม หรือกระจายความเสี่ยงเช่น ธีมมาติก หรือ Healthcare