ปลุกเชื่อมั่น SCG ข้ามพ้นวิกฤตปิโตรฯ เร่งนำเข้าก๊าซอีเทนยาว 15 ปี เสริมกำไร LSP

HoonSmart.com>> นักลงทุนและนักวิเคราะห์มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นกับกลุ่ม SCG ในการข้ามพ้นช่วงวัฎจักรขาลงอุตสาหกรรมปิโตรเคมีไปได้ฉลุย หลังเร่งแก้จุดอ่อนอย่างมีนัยสำคัญให้กับโรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ ที่เวียดนาม (LSP) ของบริษัทย่อย SCGC ในการล็อกการนำเข้าวัตถุดิบก๊าซอีเทน 1 ล้านตัน เป็นเวลา 15 ปี เพิ่มความยืดหยุ่นรับวัตถุดิบที่มีต้นทุนผลิตถูกกว่าการใช้แนฟทาและโพรเพน เสริมศักยภาพการแข่งขันระยะยาวและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 

 

นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) กล่าวว่า การขับเคลื่อนโครงการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่โรงงาน LSP ประเทศเวียดนามอย่างเร่งด่วนตามแผนเชิงรุก ช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันและลดต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญ มั่นใจพร้อมเดินหน้ารับตลาดปิโตรเคมีช่วงฟื้นตัวในอนาคต

ล่าสุด บริษัทฯ ได้จัดหาและล็อกวัตถุดิบก๊าซอีเทนจากสหรัฐอเมริกาเป็นผลสำเร็จ พร้อมลงนามในสัญญาระยะยาว เพื่อจัดหาวัตถุดิบก๊าซอีเทนประมาณ 1 ล้านตันต่อปี เป็นระยะเวลา 15 ปี กับ Enterprise Products Partners ผู้จัดหาก๊าซอีเทนชั้นนำจากสหรัฐอเมริกา และลงนามในสัญญาระยะยาวสำหรับเช่าเหมาเรือขนส่งก๊าซอีเทน (Very Large Ethane Carriers: VLECs) กับบริษัท Mitsui O.S.K. Lines (MOL) ผู้ให้บริการเรือขนส่งวัตถุดิบชั้นนำของโลก รอบแรกจำนวน 3 ลำ ซึ่ง MOL จะให้บริการขนส่งก๊าซอีเทนจากสหรัฐอเมริกาไปยังประเทศเวียดนามเป็นเวลา 15 ปี ทั้งนี้ สัญญาเช่าเหมาเรืออีก 2 ลำอยู่ระหว่างดำเนินการ จึงมั่นใจได้ว่าโรงงาน LSP จะแข่งขันได้ในระยะยาวด้วยต้นทุนที่ต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ

 

 

“โรงงาน LSP ถูกออกแบบมาให้มีความยืดหยุ่นในการรับวัตถุดิบก๊าซอยู่แล้ว จึงสามารถปรับปรุงโรงงานให้ใช้วัตถุดิบที่เป็นก๊าซอีเทนได้มากถึง 2 ใน 3 ของปริมาณวัตถุดิบทั้งหมด ส่วนที่เหลือจะเป็นก๊าซโพรเพนและแนฟทา”
 

นอกจากนี้ บริษัทฯ กำลังเร่งสร้างถังเก็บวัตถุดิบก๊าซอีเทน ซึ่งได้รับการออกแบบเป็นพิเศษให้สามารถเก็บวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่มีสภาวะอุณหภูมิต่ำประมาณ -90 องศาเซลเซียส ได้อย่างปลอดภัย รวมทั้งเร่งเตรียมพร้อมการปรับปรุงกระบวนการผลิตและสาธารณูปโภคการรับวัตถุดิบ (supporting facilities) คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จภายในปลายปี 2570 รับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในภูมิภาค
 


 

สำหรับโรงงาน LSP ผลิตและจำหน่ายพอลิเมอร์คุณภาพสูง เพื่อป้อนตลาดในประเทศเวียดนามและส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยผลิตภัณฑ์จาก LSP ได้รับการยอมรับในด้านคุณภาพและมาตรฐานระดับสากล ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของโรงงาน LSP ให้เป็นฐานการผลิตปิโตรเคมีที่สำคัญระดับภูมิภาคต่อไป
 

 

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ทรีนีตี้มีมุมมองบวกจากความคืบหน้าของโครงการที่ SCGC สามารถจัดการได้อย่างรวดเร็ว พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง และเชื่อว่า SCGC จะผ่านช่วง Down Cycle ไปได้ อีกทั้งโครงการดังกล่าวจะช่วยลดต้นทุนการผลิตลงมาอยู่ที่ราว 250 ดอลลาร์/ตัน หลังหักต้นทุนค่าขนส่งและค่าใช้จ่ายอื่นๆ แล้ว จึงช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้น ทําให้บริษัทฯ ขึ้นมาเป็นบริษัทปิโตรเคมีอันดับต้นๆ ในภูมิภาค ขณะที่ต้นทุนในการปรับเปลี่ยนวัตถุดิบ (CAPEX) ของโครงการจะลดลงเหลือประมาณ 500 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 17,000 ล้านบาท ต่ำกว่าที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ 700 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 23,800 ล้านบาท

“การลงทุนที่ดูเหมือนว่าจะสูงถึง 500 ล้านเหรียญ แต่ระยะเวลาในการคืนทุนเพียงแค่ 2 ปี กับผลกําไรที่เพิ่ม นับว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า โครงการนี้เชื่อว่าจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งในอนาคต การเพิ่มความยืดหยุ่นใช้แนฟทาและก๊าซในการผลิต ขณะที่ราคาก๊าซอีเทนในระยะยาวยังมีราคาที่แข่งขันได้และมีเสถียรภาพ เพราะเป็นผลผลิตพลอยได้จากการผลิตก๊าซธรรมชาติและมีปริมาณมากกว่าความต้องการ พร้อมทั้งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”

ดังนั้น ยังคงคําแนะนํา “ซื้อเก็งกําไร” หุ้นบริษัทปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ราคาหุ้นค่อนข้างถูกมาก แต่ต้องถือระยะยาว ระยะกลางกําไรอาจจะยังไม่ฟื้น แต่ถ้าผ่านพ้นรอบของวัฏจักรปิโตรเคมีขาลงไปแล้วจะกลับมาฟื้นตัวโดดเด่นได้อีกครั้ง

ด้านราคาหุ้น SCC ปิดที่ระดับสูงสุดของวันที่ 156 บาท บวก 6 บาท หรือ 4% ด้วยมูลค่าการซื้อขายจำนวน 731.81 ล้านบาท เมื่อวันที่ 24 ม.ค. 2568 ที่ผ่านมา