“คปภ.” ถก “สินมั่นคง” นัดแรก นับหนึ่งหาทางรอดฟื้นกิจการ

HoonSmart.com>>คปภ. -สินมั่นคงประกันภัย ประชุมนัดแรกหาทางรอดฟื้นกิจการ หลังส่งคณะทำงาน 21 ชีวิตเข้าตรวจสอบและลงนามเห็นชอบสั่งจ่ายสินไหม

วันที่ 21 ธ.ค.2566 คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กับ บริษัทสินมั่นคงประกันภัย(SMK)ได้ประชุมนัดแรกเพื่อร่วมกันหาทางรอดในการฟื้นกิจการให้เดินหน้าต่อไปได้ โดยทางบริษัทฯได้ทำการยื่นแผนฟื้นฟูกิจการต่อคปภ. หนึ่งในแผนคือการเพิ่มทุน ซึ่งทางคปภ.จะทำการศึกษารายละเอียดของแผนฟื้นฟูฯและความเป็นไปได้ของแผน

ตามแนวทางการแก้ไขปัญหา จะต้องทำการเพิ่มทุนให้เป็นไปตามเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง (Risk Based. Capital: RBC)ในขั้นต้นจะต้องใช้เงินมากถึง 30,000 ล้านบาทเพื่อให้กองทุนไม่ติดลบ หลังจากนั้นจะต้องใส่เงินเพิ่มอีกเพื่อให้ทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 1.4 เท่า จะต้องเพิ่มทุนมากกว่า 30,000 ล้านบาท เพราะปัจจุบันบริษัทมีหนี้สินจากประกันโควิด 30,000 ล้านบาท และมีเงินกองทุนติดลบด้วย

หลังจากที่ทางคปภ.ทำการศึกษาแผนฟื้นฟูกิจการแล้วจะทำการสรุปแผนฟื้นฟู และส่งให้บอรด์คปภ.พิจารณาว่าจะอนุมัติแผนหรือไม่ต่อไป

ขณะที่ ลูกค้าประกันภัยรถยนต์ของบริษัทสินมั่นคงประกันภัย เริ่มเจอปัญหาอู่ไม่รับรถเข้าซ่อม เนื่องจากเกรงว่าจะเรียกเก็บเงินจากบริษัทไม่ได้ ซึ่งในความเป็นจริงบริษัทยังคงจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามปกติ

ทั้งนี้ หลังจากที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ยกเลิกคาสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของบริษัทสินมั่นคงประกันภัย เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.2566 ทาง คปภ.ได้สั่งบริษัทหยุดรับประกันภัยเป็นการชั่วคราวในวันเดียวกัน และส่งเจ้าหน้าที่คปภ. 21 คนเข้าไปนั่งทำงานที่บริษัท เพื่อทำการตรวจสอบและลงนามเห็นชอบการสั่งจ่ายสินไหมทดแทนในวันที่ 18 ธ.ค.2566 ซึ่งในวันดังกล่าว นายเรืองเดช ดุษฎีสุรพจน์ กรรมการผู้จัดการ (CEO) และนายสุชัย ดารารัตน์ทวี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายการเงินและบัญชี (CFO) ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง

ด้านกระทรวงการคลัง ในฐานะกำกับดูแล คปภ. ทางนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงท่าทีกระทรวงการคลังต่อกรณีของบริษัทสินมั่นคงประกันภัยว่า พร้อมจะทบทวนแนวทางการกำกับดูแลและบทบาทของคปภ.ให้สอดคล้องและทันสถานการณ์ ปิดช่องโหว่และปัญหา เพื่อส่งเสริมธุรกิจประกันภัย และคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้ทำประกันให้มีประสิทธิภาพ โดยจะมีการนำไปหารือกับนายกรัฐมนตรีต่อไป