HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น นำโดยตลาดฮ่องกง +1.75% ญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 1.17% ส่วนไทยลบเล็กน้อย ต่างชาติพลิกซื้อ 445.88 ล้านบาท เก็งกำไร “ทรัมป์” สาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ จับตาเซ็นนโยบายชุดใหญ่ ด้าน บล. เอเซียพลัสเผย 17 วันปีนี้ หุ้นมาเลเซียดิ่งลงแรงสุดในโลก -5.3% ตามด้วยบาห์เรน -4.3% ส่วนไทย -4.26% ชู 5 กลุ่มทรุดหนักกว่า 20% โยงส่งออก ลุ้นทรัมป์ผ่อนคลาย หนุน HANA, SCGP, ITC, SJWD, SCC, ERW, TU มีโอกาสรีบาวน์
วันที่ 20 ม.ค.2568 ตลาดหุ้นไทยเปิดบวก จากแรงไล่ซื้อหุ้น หนุนดัชนีขึ้นไปสูงสุดแตะ 1,350.41 จุด ก่อนมีแรงขายทำกำไร โดยเฉพาะช่วงบ่าย ปิดตลาดติดลบ 0.13 จุดที่ 1,340.5 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขายเบาบางเพียง 26,027.17 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติพลิกมาซื้อสุทธิ 445.88 ล้านบาท รายย่อยช่วยด้วย 317.58 ล้านบาทและสถาบันซื้อ 188.72 บาท ด้านสถาบันไทยขายสุทธิ 952.18 ล้านบาท
ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวตามภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น นำโดยตลาดฮ่องกงพุ่งขึ้น 1.75% ญี่ปุ่นบวก 1.17% จีนปรับตัวขึ้น 0.08%
นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้แกว่งแคบทั้งในแดนบวก-ลบ รอดูท่าทีของ “ทรัมป์” คืนนี้จะพูดอะไรบ้าง หลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐแล้ว คาดว่าไม่น่าจะมี Surprise อะไร ขณะที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเคลื่อนไหวในแดนบวก ขานรับ “ทรัมป์” พูดคุยกับผู้นำจีน แล้วไม่มีประเด็นอะไรที่น่ากังวล อย่างไรก็ดี คืนนี้ตลาดสหรัฐปิดทำการ พร้อมให้ติดตามตัวเลข PMI ของสหรัฐในช่วงปลายสัปดาห์
แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (21 ม.ค.) ตลาดคงจะแกว่งแคบในกรอบ 1,335-1,350 จุด
ทางด้านบล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีประเด็นที่สร้างแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเป็นเรื่องของการจำนำหุ้นนอกตลาด และมาร์จิ้น ลดความเชื่อมั่นของนักลงทุนซึ่งถูกสะท้อนผ่านออกมาทางมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง ส่วนเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศก็ยังไม่เห็นสัญญาณการกลับตัว โดยเฉพาะในช่วงที่ สหรัฐฯ กำลังจะมีประธานาธิบดีคนใหม่ จากหลายนโยบายที่มีโอกาสกระตุ้นเงินเฟ้อสูงขึ้น ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายต้องคงตัวในระดับสูง เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า อีกทั้งการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคคลก็เป็นปัจจัยที่เสริมเสน่ห์ให้กับตลาดหุ้นสหรัฐ ทำให้เม็ดเงินลงทุนยังคงอยู่ในตลาดสหรัฐเป็นหลัก ส่วนไทยต้องติดตามผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นลบมากกว่าบวก
เปิดปี 2568 ตลาดหุ้นไทยต่ำสุดอันดับ 3 ของโลก (YTD) ยังขาดความเชื่อมั่น ถูกกดดันยุค TRUMP 2.0 เริ่มปี 2568 นี้ (1 –17 ม.ค.) ตลาดหุ้นเอเซียและไทยลงแรงติดอันดับต้น ๆ ของโลก อาทิ ตลาดหุ้นมาเลเซียลงแรงอันดับ 1 ของโลก -5.3%YTD รองลงมาตลาดหุ้นบาห์เรน -4.3% และตลาดหุ้นไทย -4.26% ตามมาด้วยตลาดหุ้นจีน -2.74%, และตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ -2.71%
“โฟกัสเฉพาะตลาดหุ้นไทย ย่อตัวลงมาหนักๆ ตั้งแต่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง 5 พ.ย. 2567 – 17 ม.ค. 2568 โดย SET INDEX -8.4% ส่วน กลุ่มที่ลงแรง คือ กระดาษฯ -28%, บรรจุภัณฑ์ -27%, บริการเฉพาะกิจ -26.7%, รับเหมาก่อสร้าง -20.3% และวัสดุก่อสร้าง -19.5% ส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจอิงกับการส่งออก ส่วนกลุ่มที่ปรับตัวสูงกว่าตลาด (OUTPERFORM) คือธนาคาร +4.2%, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ -1%, ICT -2.1%, กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (PF&REIT) -3.7%, สื่อและสิ่งพิมพ์ -3.9% เป็นต้น ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้น DOMESTIC (ธุรกิจอิงในประเทศเป็นหลัก) หรือ หุ้นปันผลสูง
สำหรับคำแนะนำให้นักลงทุนติดตามประเด็นการเมืองสหรัฐอย่างใกล้ชิด ถ้าเห็นการผ่อนคลายลง อาจเห็นหุ้นรีบาวน์กลับขึ้นมาได้บ้าง อาทิ HANA, SCGP, ITC, SJWD, SCC, ERW, TU เป็นต้น
ในทางกลับกันถ้ากระแส TRUMP รุนแรงก็น่าจะเห็นเม็ดเงินวนเวียนอยู่ในหุ้น DOMESTIC กับหุ้นปันผลสูงเป็นหลัก อาทิ BBL, KBANK, ADVANC, INTUCH, DIF, 3BBIF, VGI, PLANB, MAJOR
นายทวีศักดิ์ เผ่าพัลลภ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน บล.เกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า ปี 2568 ได้ผ่านพ้นช่วงที่ดีที่สุดของหุ้นไปแล้วเพราะอัตราดอกเบี้ยไม่ได้อยู่ในระดับสูงอีกต่อไป สินทรัพย์เสี่ยงให้ผลตอบแทนโดดเด่นไม่เท่าเดิม จึงแนะนำนักลงทุนเน้นจัดพอร์ตแบบกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่หลากหลายแบบรอบคอบตามระดับความเสี่ยง เพื่อช่วยประคองให้ผ่านความผันผวน และความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ คาดการณ์ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นช่วง 5 ปีข้างหน้า หุ้นโลกน่าสนใจกว่าหุ้นไทย จึงแนะนำให้ลดการถือครองหุ้นไทย ส่วนตลาดหุ้นที่น่าสนใจได้แก่ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ซึ่งน่าจะหลุดออกจากภาวะเงินฝืดได้อย่างยั่งยืน และมีการปฏิรูปบรรษัทภิบาล หุ้นกลุ่มการเงิน จะได้ประโยชน์จากค่าธรรมเนียมและการผ่อนคลายกฎระเบียบ โดยใช้กลยุทธ์การลงทุนที่เน้นการเข้าซื้อสินทรัพย์ในช่วงที่ราคาปรับตัวลดลงชั่วคราวจากแนวโน้มหลัก (Buy on dip) รวมถึงกระจายลงทุนในหุ้น S&P500 Equal Weighted
นอกจากนี้ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีระยะเวลา 3-5 ปี เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากให้อัตราผลตอบแทนที่สูงและช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตในภาวะที่ตลาดกลับมากังวลกับเศรษฐกิจ
ในส่วนของตราสารหนี้คุณภาพสูงของไทยที่มีอันดับเครดิต A- ขึ้นไป ยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนในภาวะที่ดอกเบี้ยน่าจะลดลงเพิ่มเติม แต่สำหรับตราสารหนี้ที่มีอันดับ BBB+ ลงมานักลงทุนต้องเลือกลงทุนอย่างระมัดระวัง (Selective)
บล.บัวหลวงมองหุ้นที่ปรับตัวลงสัปดาห์ก่อน ดัชนีปิดที่ 1,340.63 จุด ลดลง 11.93 จุด (-0.88%) มูลค่าซื้อขาย 37,538.15 ล้านบาท เป็นผลมาจากแรงขายหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคาร จากผลประกอบการ TISCO ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ และความไม่แน่นอนจากการแถลงนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนบางส่วนตัดสินใจขายทำกำไรหรือลดความเสี่ยงก่อนการประกาศดังกล่าว