KTAM ปันผล-ลดทุนกองทุนอสังหาฯ-โครงสร้างพื้นฐาน Q3/66 กว่า 1.7 พันล้าน

HoonSmart.com>> บลจ.กรุงไทย (KTAM) เดินหน้าจ่ายเงินปันผลกองทุนอสังหาริมทรัพย์ “CPTGF-TTLPF-LPF” กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน “KBSPIF-TFFIF-EGATIF” สำหรับงวดไตรมาส 3/66 รวมมูลค่ากว่า 1,700 ล้านบาท หนุนอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง ชูทางเลือกลงทุน

นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย (KTAM) เปิดเผยว่า GDP ไตรมาส 3 ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เปิดเผยตัวเลขออกมาต่ำกว่าคาด แต่ภาคการบริโภค การลงทุน การส่งออกกลับฟื้นตัวสูงกว่าก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 แล้ว ถึงแม้ว่าภาคการผลิตและภาคการท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร แต่ ธปท. ยังคงคาดการณ์ว่าการเติบโตในปีถัด ๆ ไปจะสมดุลมากขึ้น โดยคาดว่าจะขยายตัว 3.2% และ 3.1% ในปี 2024 และ 2025 ตามลำดับ โดยภาพรวมเศรษฐกิจทั้งในส่วนของการลงทุนและการบริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นนั้น ส่งผลให้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานและกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของ KTAM สามารถสร้างผลตอบแทนได้เป็นที่น่าพอใจ

บริษัทฯ จึงได้ประกาศจ่ายปันผลและจ่ายลดทุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ประกอบด้วย กลุ่มกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งนับว่าเป็นกองทุนที่น่าสนใจ ได้แก่ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาล ครบุรี (KBSPIF) ลงทุนในสัญญาโอนสิทธิในรายได้จากการประกอบกิจการไฟฟ้า ของบริษัทผลิตไฟฟ้าครบุรี จำกัด (หรือ KPP ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มน้ำตาล ครบุรี) โดยโรงไฟฟ้านี้เป็นโรงไฟฟ้าแบบชีวมวล มีกากอ้อยเป็นเชื้อเพลิงหลัก ซึ่งหาซื้อได้ในประเทศ

กองทุน KBSPIF นี้ จะทำการเข้าลงทุนในกระแสรายได้ของ KPP ซึ่งมีสัญญาจำหน่ายไฟฟ้าระยะยาวให้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และกลุ่มน้ำตาลครบุรี โดยสัญญาเข้าลงทุนมีระยะเวลาถึงปี 2582 หรืออีกประมาณ 16 ปี ที่ผ่านมา ทั้งนี้ กองทุนได้รับรายได้จากการผลิตกระแสไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอโดยไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ Covid นับแต่จัดตั้งกองทุน เมื่อ ส.ค.2563 ที่ผ่านมา จึงเหมาะกับนักลงทุนที่มีมุมมองการลงทุนระยะยาว มองหากระแสรายได้จากทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่นกระแสไฟฟ้า เป็นต้น

ทั้งนี้ ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ซึ่งในปี 2563 มีการจ่ายปันผลที่อัตรา 0.4990 บาทต่อหน่วย ปี 2564 จ่ายปันผลที่อัตรา 1.0270 บาทต่อหน่วย และปี 2565 จ่ายปันผลที่อัตรา 0.8790 บาทต่อหน่วย และใน 9 เดือนแรกของปีนี้ จ่ายปันผลที่อัตรา 0.7030 บาทต่อหน่วย ใกล้เคียงกันกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่อัตรา 0.7050 บาทต่อหน่วย สำหรับไตรมาส 3 รอบบัญชีวันที่ 1 ก.ค. 66 – 30 ก.ย.2566 และจากกำไรสะสม ได้จ่ายปันผลในวันที่ 19 ธ.ค.66 ในอัตรา 0.2440 บาทต่อหน่วย และหากพิจารณาในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ได้จ่ายปันผลไปแล้วรวม 0.8770 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็น 9.85% จากราคาปิด ณ วันที่ 13 ธ.ค.2566 ที่ 8.90 บาทต่อหน่วย

อีกกองทุนที่น่าสนใจ ได้แก่ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFFIF) ที่ลงทุนในสิทธิในรายได้ 45% ของรายได้ค่าผ่านทางสุทธิ ที่จัดเก็บได้จากโครงการทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษบูรพาวิถี ซึ่งบริหารจัดการโดย การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) โดยสัญญามีระยะเวลาคงเหลือ ประมาณ 25 ปี (สิ้นสุดปี 2591) ทำให้กองทุนนี้เป็นกองทุนแบบที่ลงทุนในสัญญาแบ่งรายได้ที่มีอายุคงเหลือมากสุดในตลาด ณ ขณะนี้ (ที่มา: SETTRADE ข้อมูล ณ 18 ธค 66) และยังได้รับอานิสงส์จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้น หลังจากการเปิดเมืองในปีที่ผ่านมาและการส่งเสริมการท่องเที่ยวในปีนี้

อีกทั้งยังได้รับผลดีจากการปรับขึ้นค่าผ่านทางทั้ง 2 เส้นทาง ซึ่งเป็นไปตามวิธีการปรับค่าผ่านทางที่กำหนดไว้ในสัญญาที่อ้างอิงกับอัตราเงินเฟ้อ โดยคาดว่าอัตราค่าผ่านทางใหม่จะได้เรียกเก็บในช่วง มี.ค.2567 นี้ กองทุนนี้จึงเหมาะกับนักลงทุนที่มีมุมมองการลงทุนระยะยาว มองหาทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานที่มีรายได้เติบโตตามภาวะเงินเฟ้อ และการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้บริการทางพิเศษของ กทพ. ทั้งใน 2 เส้นทางนี้

ในปี 2563 มีการจ่ายปันผลที่อัตรา 0.3829 บาทต่อหน่วย ปี 2564 จ่ายปันผลที่อัตรา 0.3086 บาทต่อหน่วย และปี 2565 จ่ายปันผลที่อัตรา 0.3825 บาทต่อหน่วย และใน 9 เดือนแรกของปีนี้ จ่ายปันผลที่อัตรา 0.3098 บาทต่อหน่วย มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่อัตรา 0.2793 บาทต่อหน่วย สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่ชัดเจน สำหรับไตรมาส 3 รอบบัญชีวันที่ 1 ก.ค. 66 – 30 ก.ย.2566 ได้จ่ายปันผลในวันที่ 28 ธ.ค.2566 ในอัตรา 0.1057 บาทต่อหน่วย และหากพิจารณาในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา จ่ายปันผลไปแล้วรวม 0.4130 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็น 6.56% จากราคาปิด ณ วันที่ 13 ธ.ค. 2566 ที่ 6.30 บาทต่อหน่วย

นอกจากนี้ ยังมีกองทุนที่จ่ายปันผลในวันที่ 19 ธ.ค. 2566 สำหรับรอบบัญชีวันที่ 1 ก.ค. – 30 ก.ย. 2566 และจากกำไรสะสม ได้แก่ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าพระนครเหนือชุดที่ 1 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGATIF) เป็นกองทุนที่ลงทุนในรายได้ค่าความพร้อมจ่ายของโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 1 ของ กฟผ. กำหนดจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 31 ในอัตรา 0.0839 บาทต่อหน่วย และจ่ายลดทุนครั้งที่ 11 ในอัตรา 0.1200 บาทต่อหน่วย รวมเป็นจ่ายปันผลและลดทุน จำนวน 0.2039 บาทต่อหน่วย ซึ่งในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ได้จ่ายปันผลไปแล้วรวม 0.3538 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็น 6.26% จากราคาปิดที่ 5.65 บาทต่อหน่วย (ณ วันที่ 13 ธ.ค. 66) และจ่ายลดทุนไปแล้วรวม 0.4600 บาทต่อหน่วย

สำหรับปันผลกลุ่มกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ตามรอบบัญชีวันที่ 1 ก.ค. 66 – 30 ก.ย. 2566 และจากกำไรสะสม ได้แก่ กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ซีพี ทาวเวอร์ โกรท (CPTGF) เป็นอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกที่ตั้งอยู่ในย่านธุรกิจใจกลางเมืองที่โดดเด่น 3 แห่งด้วยกัน ได้แก่ CP Tower 1 (สีลม) CP Tower 2 (รัชดาภิเษก) และ CP Tower 3 (พญาไท) โดยในไตรมาสนี้ได้กำหนดจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 38 ในอัตรา 0.1836 บาทต่อหน่วย ซึ่งในรอบ 9 เดือนของปี 2566 ได้จ่ายปันผลแล้วรวม 0.3020 บาทต่อหน่วย และลดทุนเป็นเงิน 0.2300 บาทต่อหน่วย รวมกันเป็นเงิน 0.5330 บาทต่อหน่วย

ทั้งนี้ จากราคาตลาด ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 4.96 บาท (13 ธ.ค. 66) ซึ่งหากพิจารณาการจ่ายเงินปันผล 4 ไตรมาสล่าสุด จะคิดเป็นอัตราเงินปันผลที่ 9.35%

กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ตลาดไท (TTLPF) ลงทุนในโครงการตลาดไท ได้กำหนดจ่ายเงินปันผลนับเป็นครั้งที่ 52 ในอัตรา 0.4440 บาทต่อหน่วย ซึ่งในรอบ 9 เดือนของปี 2566 ได้จ่ายปันผลแล้วรวม 1.3040 บาทต่อหน่วย โดยราคาตลาด ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 19.20 บาท (13 ธ.ค. 2566) ซึ่งหากเทียบจากการจ่ายเงินปันผลย้อนหลัง 4 ไตรมาสล่าสุด จะคิดเป็นอัตราเงินปันผลอยู่ที่ประมาณ 8.99%

กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าโลตัสส์ รีเทล โกรท (LPF) สำหรับรอบระยะเวลาบัญชี 1 มิ.ย. 2566 – 30 ส.ค. 2566 โดยจ่ายให้ผู้ถือหน่วยแล้วเมื่อวันที่ 17 พ.ย.2566 ที่ผ่านมา นับเป็นครั้งที่ 46 ในอัตรา 0.2112 บาทต่อหน่วย ซึ่งในรอบ 9 เดือนของปี 2566 ได้จ่ายปันผลแล้วรวม 0.6470 บาทต่อหน่วย โดยราคาตลาด ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 12.80 บาท (13 ธ.ค. 66) หากเทียบจากการจ่ายเงินปันผลย้อนหลัง 4 ไตรมาสล่าสุด จะคิดเป็นอัตราเงินปันผลอยู่ที่ประมาณ 6.65%